วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

42: องค์พระพุทธนาคาพิทักษ์

ฝากภาพ "องค์พระพุทธนาคาพิทักษ์"
ใช้ตะปูตอกสังกะสีแกะสลัก โดยองค์พ่อแม่ครูอาจารย์
เนื่องในวาระแทนคุณบิดามารดา (23-24-25 มี.ค.'55)
พระองค์นี้แหละครับ เสด็จมาโปรดผมในดวงจิต ตลอดการเดินทางสู่ภูดานไห ในค่ำคืน 22 มี.ค. 55
ด้านหลังองค์พระคือพระธาตุที่เกาะเต็มแผ่นดินแม่น้ำโขงนี้ทุกอณู...แฮงบ่ท่านฤาษี?
แฮงหลายอยู่แต่ยังบ่เท่าลูกอมพญานาคสีดำเน้อ(ความเห็นและชอบส่วนตัว...หึหึ)
แม่นอยู่บ่?...หึหึ

ลูกอมพญานาคนี่ พอผมเข้าไปกุฏิกาลิก (อันเป็นที่ๆองค์ท่านใช้เป็นที่เก็บและจารย์ปฐวีธาตุเป็นการชั่วคราว เพราะกุฏิท่านด้านล่าง ช่างกำลังต่อเติมอยู่)
เท่านั้นแหละครับ ปรากฏว่า...จู่ๆก็ปวดหัวใบหูร้อนวูบวาบอย่างหาสาเหตุบ่เจอ...

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์จึงได้นำลูกอมที่เป็นธาตุกายสิทธิ์เมืองนาค ออกมาให้คุณแม่ชมดู พร้อมกับพูดคุยกันว่า "แฮงอิหลีเด๊อแม่ชม"
พร้อมกับวางให้แม่จับดู แม่ชมก็บอกว่า "แม่นอิหลีเจ้าค่ะ" แล้วส่งต่อมาให้ผมพิจารณา เหมือนประหนึ่งจะกวนกิเลสของผมให้กระเพื่อมขึ้นมา
ในที่สุดมันก็กระเพื่อมออกมาจริงๆเจ้ากิเลสตัวแสบ! จนอดไม่ได้ต้องเรียนถามองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ว่า

"พ่อแม่ครูอาจารย์ครับ ไอ้ที่กระผมปวดหัวนี่่ เป็นเพราะกิเลส (ที่อยากได้) หรือเป็นเพราะพลังมหาศาลของลูกอมพญานาคนี้หนอ?"

องค์ท่านได้แต่นั่งยิ้ม...ซึ่งผมพอจะหาคำตอบได้แล้วว่า อาการอยากได้(กิเลส)นั้นมีอยู่ปกติดี...จนถึงกับออกปากถาม ไม่ถึงกับต้องปวดหัว
แต่อาการปวดหัวใบหูร้อนนั่น เพราะรู้ดีว่า...หากเจอพลังมหาศาลมันก็เป็นเช่นนี้ ปกติของผมที่เจอ หากเมื่อคุ้นเคยพลังเดี๋ยวก็จะหายเป็นปกติเอง
ซึ่งก็หายจริงๆระหว่างการถวายภัตตาหารเช้าครับ

เมื่อกระเพื่อมออกมารุนแรงก็ต้องเอ่ยปากขอท่านตรงๆว่า จะขอไปร่วมสร้างบุญบารมี เมื่อถึงกาลอันควรจะนำกลับสู่พิพิธภัณฑ์แห่งภูดานไห
เพราะองค์ท่านก็เคยบอกว่าพญานาคเขาเก่งเรื่องฤทธิ์ เงินทองและช่วยในการภาวนา ซึ่งเหล่านาคจะโปรดมากเป็นพิเศษครับ

ข้างในมีเม็ดพระธาตุเหมือนข้าวสาร

41: พระพุทธปฐวีธาตุวาระแทนคุณบิดามารดา

พระพุทธปฐวีธาตุทั้ง 5 วาระแทนคุณบิดามารดา
ตะปูสามและตะปูตอกสังกะสี (ล่าง) ที่องค์ท่านใช้แกะสลักพระพุทธนาคาพิทักษ์กับพระหลวงปู่ทวด
องค์ท่านบอกว่า ... ตะปูนิแหละที่ใช้ตอก ยึดเหนี่ยวบ้านและหลังคาไว้ ให้คนได้อยู่อาศัย ...

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

40: พระพุทธปฐวีธาตุองค์สร้างปาฏิหาริย์



พระพุทธปฐวีธาตุองค์ที่เสด็จไปสร้างปาฏิหาริย์ ณ แดนไกล
1 ใน 13 องค์วาระสร้างบารมีธรรม (ในกล่องดำของข้อย)

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

39: ความเพียรของการสร้างพระพุทธปฐวีธาตุ

หากท่านผู้ร่วมทำบุญสร้างวัดภูดานไห ประสงค์จักรับพระพุทธปฐวีธาตุ เพื่อน้อมนำไปอาราธนาติดกายภาวนา หรือสักการะบูชาให้เป็นมงคลกับที่อยู่ที่อาศัย กรุณาแจ้งไว้ในเวปบอร์ดหลวงปู่แหวนมาโปรดฯนะครับ
ความเพียรของการสร้างพระพุทธปฐวีธาตุจนก้นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์แตก
จะกล่าวถึงความยากลำบากของการที่กว่าจักได้พระพุทธปฐวีธาตุอย่างสมบูรณ์ดังนี้
1. การจัดเตรียมจัดหา
- เริ่มจากการเดินทางไปเสาะหาปฐวีธาตุตามแหล่งแม่น้ำโขง ยิ่งองค์ใสยิ่งหายาก
- นำมาแล้วทำความสะอาดปฐวีธาตุ
- องค์ท่านต้องพ่นเงาเพื่อให้จารง่ายขึ้น
- นำไปตากแดดจนแห้ง
2. การจารองค์พระ
- ขณะที่จาร "จิต" ท่านจะตั้งมั่นเป็นสมาธิในการจาร ทั้งการจารองค์พระ จารอักขรยันต์ประจำองค์ท่าน
- บางวันท่านนั่งจารอย่างต่อเนื่อง 7-8 ชั่วโมง ไม่ลุกไปไหนก็มี
- จนตอนนี้ก้นขององค์ท่านนั้นบวม พอบวมแล้วก็แตกเป็นแผล จนต้องนั่งยองๆ
- เมื่อจารเสร็จก็นำไปพ่นเคลือบด้วยเสปร์เคลือบเงา
- นำไปตากแดดจนแห้ง
3. การแผ่เมตตาอธิษฐานจิต
- เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนองค์ท่านจักมอบให้เหล่าลูกศิษย์ ผู้ศรัทธา เพื่อน้อมนำไปเจริญภาวนาติดตัวหรือเป็นมงคลกับบ้านกับเรือน
ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า องค์ท่านต้องใช้ความเพียรพยายามมากเพียงใดกว่าจักได้"พระพุทธปฐวีธาตุ"ขึ้นมาสักองค์

หากท่านใดที่เคยได้รับพระพุทธปฐวีธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สี องค์ใส รุ่นแรกๆ แล้วนำไปไว้ ณ ที่อันไม่เหมาะสมเหมือนของไร้ค่าหรือไม่ภาวนา
ขอความกรุณาส่งกลับคืนภูดานไหด้วยเน๊อ
- เพราะยังมีญาติธรรม ลูกศิษย์ลูกหา และผู้ประจักษ์ในพลานุภาพต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก
- เพราะองค์ท่านเพียรสร้างพระพุทธปฐวีธาตุขึ้นมาทุกองค์ ด้วยหัวจิตหัวใจของท่านอย่างเต็มเปี่ยม 100% ก็เพื่อที่จักให้ลูกหลานชาวพุทธรู้จักการภาวนา

ขอขอบพระคุณและโมทนาในบุญอันเกิดจากการเจริญภาวนาครับ
IT Man/19.03.55

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรับทราบและเมตตาอวยพรให้ท่าน xx-x แล้วครับผม

หากท่านผู้ร่วมทำบุญสร้างวัดภูดานไห ประสงค์จักรับพระพุทธปฐวีธาตุ เพื่อน้อมนำไปอาราธนาติดกายภาวนา

หรือสักการะบูชาให้เป็นมงคลกับที่อยู่ที่อาศัย กรุณาแจ้งไว้ในเวปบอร์ดแห่งนี้นะครับ


ความเพียรของการสร้างพระพุทธปฐวีธาตุจนก้นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์แตก

จะกล่าวถึงความยากลำบากของการที่กว่าจักได้พระพุทธปฐวีธาตุอย่างสมบูรณ์ดังนี้

1. การจัดเตรียมจัดหา
- เริ่มจากการเดินทางไปเสาะหาปฐวีธาตุตามแหล่งแม่น้ำโขง ยิ่งองค์ใสยิ่งหายาก
- นำมาแล้วทำความสะอาดปฐวีธาตุ
- องค์ท่านต้องพ่นเงาเพื่อให้จารง่ายขึ้น
- นำไปตากแดดจนแห้ง

2. การจารองค์พระ
- ขณะที่จาร "จิต" ท่านจะตั้งมั่นเป็นสมาธิในการจาร ทั้งการจารองค์พระ จารอักขรยันต์ประจำองค์ท่าน
- บางวันท่านนั่งจารอย่างต่อเนื่อง 7-8 ชั่วโมง ไม่ลุกไปไหนก็มี
- จนตอนนี้ก้นขององค์ท่านนั้นบวม พอบวมแล้วก็แตกเป็นแผล จนต้องนั่งยองๆในบางครั้ง
- เมื่อจารเสร็จก็นำไปพ่นเคลือบด้วยเสปร์เคลือบเงา
- นำไปตากแดดจนแห้ง

3. การแผ่เมตตาอธิษฐานจิต
- เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนองค์ท่านจักมอบให้เหล่าลูกศิษย์ ผู้ศรัทธา เพื่อน้อมนำไปเจริญภาวนาติดตัวหรือเป็นมงคลกับบ้านกับเรือน

ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า องค์ท่านต้องใช้ความเพียรพยายามมากเพียงใดกว่าจักได้"พระพุทธปฐวีธาตุ"ขึ้นมาสักองค์

หากท่านใดที่เคยได้รับพระพุทธปฐวีธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สี องค์ใส รุ่นแรกๆ แล้วนำไปไว้ ณ ที่อันไม่เหมาะสมเหมือนของไร้ค่าหรือไม่ภาวนา ขอความกรุณาส่งกลับคืนภูดานไหด้วยเน๊อ
- เพราะยังมีญาติธรรม ลูกศิษย์ลูกหา และผู้ประจักษ์ในพลานุภาพต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก
- เพราะองค์ท่านเพียรสร้างพระพุทธปฐวีธาตุขึ้นมาทุกองค์ ด้วยหัวจิตหัวใจของท่านอย่างเต็มเปี่ยม 100% ก็เพื่อที่จักให้ลูกหลานชาวพุทธรู้จักการภาวนา

ขอขอบพระคุณและโมทนาในบุญอันเกิดจากการเจริญภาวนาครับ

IT Man/19.03.55

กราบเรียน ท่านที่สนใจจักมีพระพุทธปฐวีธาตุไว้ในการช่วยส่งเสริมในการภาวนา กราบไหว้บูชาเป็นมงคล

อันเนื่องมาจากความ ยาก ของการสร้างพระพุทธปฐวีธาตุ ที่แต่ละองค์มีเพียงหนึ่งเดียว พิมพ์เดียว ประมาณหลักสิบหลักร้อย ในระดับรูปธรรมย่อมมีความแตกต่างจากพระเครื่องทั่วไปแน่นอน

แต่หากพูดกันถึงในระดับนามธรรมอันมี พลังจิต ที่อัดแน่นทุกอณูภายในองค์พระพุทธปฐวีธาตุจนครูบาอาจารย์บางท่านที่สัมผัสพลานุภาพได้ ท่านเปรียบได้กับ พลังของแผ่นดิน...

ซึ่งในเบื้องต้น องค์ท่านสร้างขึ้นมาเพื่อมอบให้เหล่าศิษย์เพื่อส่งเสริมในพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติและการภาวนา

ณ ตอนนี้...มีการสร้างพุทธสถานภูดานไห องค์ท่านเห็นว่าพระพุทธปฐวีธาตุน่าจะตอบแทนญาติโยมที่มีจิตศรัทธาในการร่วมทำบุญและเชื่อมั่นในพระพุทธปฐวีธาตุ

องค์ท่านจึงอนุญาตให้มอบให้ญาติโยมได้ (หากรับไปเพราะอย่างอื่นองค์ท่านก็ไม่อยากให้ไป)

เมื่อท่านทำบุญมาแล้ว องค์ท่านเห็นสมควรว่าควรมีไว้ และท่านประสงค์อยากรับไว้ กระผมก็ยินดีที่จักสนองงานองค์ท่านครับผม

IT Man/20.03.55

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

38: พระพุทธปฐวีธาตุถวายพระวิปัสสนาจารย์




พระพุทธปฐวีธาตุองค์แดง ที่ท่านสันติฝากไว้เพื่อน้อมถวายครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาทางไกล
คงมีส่วนเกี่ยวข้ององค์ท่านอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะองค์ท่านบอกว่า
หากมีความเชื่อมั่น ศรัทธา เกี่ยวข้องกัน และสัมผัสได้ ก็จักประจักษ์ในพลานุภาพเอง
ยิ่งนำไปร่วมภาวนาแล้ว ท่านยิ่งส่งเสริมให้
ขอโมทนาสาธุบุญทุกประการครับ


พระพุทธปฐีธาตุคู่กับองค์แดงอีกองค์ ที่เตรียมไว้มอบแด่ผู้ที่ไม่ชนะการประมูล
น่าจะเป็นลำดับที่สองครับ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

37: พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ

เรื่อง พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ
จากหนังสือ ประวัติพระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิต ธมมวิตกฺโกภิกขุ
วัดเทพศิรินทราวาส
โดย ท. สิริปญฺโญ ภิกฺขุ วัดอุดมรังสี หนองแขม กรุงเทพ
พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ๙ ค่ำ
เกร็ดประวัติของพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ท่านปลัดโกศลได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ท่านเจ้าคุณธมมวิตกโกได้มอบไว้ให้แก่ครอบครัวของท่าน ปรกติท่านเจ้าคุณฯมิได้สนใจในเรื่องเครื่องรางต่าง ๆ นัก แต่เนื่องจากมีผู้ที่นับถือท่านฯ ได้ขออนุญาตจากท่านสร้างพระเครื่องรางต่าง ๆ มอบให้ท่านฯ อธิษฐานจิตให้ และเป็นที่น่าประหลาดมาก โดยเฉพาะการปลุกเสกพระเครื่อง ท่าน ฯ มิได้เคยหันหน้าเข้าทำพิธีอย่างพระคณาจารย์อื่น ๆ ท่าน ฯ จะนั่งหันหลังให้ คือหันหน้าเข้าหาพระประธาน ต่อจากนั้นท่านก็จะสวดแผ่เมตตาจิตให้

ท่าน ฯ เคยได้กล่าวไว้ว่าท่านไม่สามารถที่จะเสกพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบประดุจบิดา และพระองค์ ก็เป็นผู้ประเสริฐ ฉะนั้นพิธีต่าง ๆ ที่ทางลูกศิษย์ได้จัดขึ้น ท่านจงเป็นเพียงแต่อธิษฐานให้เท่านั้น แต่สำหรับพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุนั้น ท่านฯ ได้เจาะจง โดยท่านฯ ได้สั่งให้คุณปลัดโกศล ซึ่งเป็นหลานชายของท่านฯ และคุณปลัดผู้นี้ก็เคยเป็นผู้ที่ส่งอาหารให้ท่านฯ ตั้งแต่ครั้งที่คุณปลัดยังเรียนอยู่ ชั้น ม. ๑-๒ ครั้งหลังที่คุณปลัดได้ศึกษาจบและได้เข้ารับราชการ จึงไม่ค่อยมีเวลา คุณปลัดจึงได้ให้ทางคุณน้ารับช่วงส่งอาหารแทน แต่ครั้งหลังตอนท่านฯ ป่วย คุณปลัดจึงได้ปฏิบัติท่านอีก คือทำอาหารซุปส่งให้เป็นประจำ ท่านฯ ได้เคยถามคุณปลัดว่า เหนื่อยไหมหลาน เพราะระยะทางจากบ้านซึ่งจะต้องนำอาหารมาส่งที่วัดนั้น มีระยะทางไกลพอสมควร ส่วนซุปซึ่งเป็นอาหารชนิดอ่อนนั้นท่านฯ ได้เป็นผู้สอนโดยจดแต่ละประเภทของอาหารรวมกันมีหลายชนิด คือ
๑. ผักขม ๒. ถั่วฝักยาว ๓. หัวผักกาดขาว ๔. หัวผักกาดเหลือง ๕. ถั่วเขียว ๖. ถั่วลิสง๗. ถั่วเหลือง ๘. มันฝรั่ง ๙. ผักกาดเขียว ๑๐. มะขามเปียก ๑๑. เกลือ ๑๒. น้ำตาลมะพร้าว๑๓. มันฮ่อ ๑๔. หัวหอม ๑๕. มะนาว
โดยนำถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถัวลิสง มันฝรั่ง เคี่ยวให้เปื่อยแล้วบดให้ละเอียดด้วยเครื่องบด แล้วนำผักต่าง ๆ ต้ม พอสุกแล้วใช้เครื่องบดให้ละเอียดเช่นกันแล้วนำมาผสมกันใส่เครื่องปรุงมีน้ำตาล เกลือ มะขามเปียก มะนาว แล้วตั้งไฟให้เดือดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำบรรจุโถพลาสติกนำไปส่งที่วัด พร้อมด้วยผลไม้ตามที่ท่านจะสั่งแต่ละวัน แต่ที่จะต้องมีประจำได้แก่ผลฝรั่งทั้งเปลือกฝานเอาแต่ผิว แล้วนำมาบดด้วยเครื่องให้ละเอียดผสมเกลือลงไปเล็กน้อย ใส่โถพลาสติกเช่นกัน และกล้วยน้ำว้าสุก ๓ ผล ส่วนผลไม้อื่น ๆ สุดแต่ปลัดโกศลและภรรยาจะนำไปถวาย เท่าที่ทราบได้แก่ ชมพู่สาแหรก สับปะรด ลูกพลับสด สาลี่ ฯ ล ฯ โดยบดให้ละเอียดเช่นกัน และกว่าจะออกจากวัดไปทำงานต้องใช้เวลานานมากจึงจะถึงที่ทำงาน แต่คุณปลัดและภรรยาคือคุณนายจำเนียร ก็ได้ทำซุปเองทุกวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลา ๒๓.๐๐-๒๔.๐๐ น. ทุกวัน ซึ่งทั้งคุณปลัดและคุณนายก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกปลื้มปีติในความมานะพยายามอันเป็นมหากุศลของคุณปลัดและคุณนายทั้งสองคน
ก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ (ธมฺมวิตกฺโก) ท่านจะมรณภาพ เหมือนว่าท่านจะรู้ตัวมาก่อน ท่านจึงพูดกับคุณปลัดผู้เป็นหลานว่า หลานจงไปเก็บก้อนกรวดที่บางบ่อมา ลุงจะทำของดีให้ คุณปลัดจึงได้เรียนถามท่านว่า ผมจะเก็บที่อื่นได้ไหม ท่าน ฯ บอกว่าไม่ได้ คุณปลัดจึงสงสัยว่าเหตุใดท่านฯ จึงมีความประสงค์เช่นนั้น
ดูเหมือนท่าน ฯ จะรู้ว่าคุณปลัดมีความสงสัย ท่าน ฯ จึงได้อธิบายว่า อันธรรมตากรวดที่อำเภอบางบ่อนั้น ชื่ออำเภอก็เปรียบเหมือน บ่อเงิน บ่อทอง และถือเคล็ดว่าจังหวัดสมุทรปราการด้วย คำว่าปราการ เปรียบเหมือนเป็นเกราะป้องกันภยันตรายต่าง ๆ นั้น บางครั้งท่านจะเรียกก้อนกรวดว่า เพชร-พลอยและท่านยังได้อธิบายต่อไปว่าก้อนกรวดนั้นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเรียกว่า คดดินตามธรรมดามนุษย์เราจะถือว่าของที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เช่น คดปลวกที่เกิดขึ้นในจอมปลวก คนโบราณท่านถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกจึงได้เจาะจงให้หลานชายท่านไปเก็บของสิ่งนี้มา
ในรุ่งขึ้นคุณปลัดก็ลืมเสียท่านฯ จึงได้ย้ำอีกว่าจงรีบไปหาเก็บมานะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ คุณปลัดเองก็ไม่ได้สังหรณ์ใจในคำพูดเช่นนี้ คุณปลัดได้กราบเรียนท่าน ฯ ว่า ผมผ่านไปมาทุกวันไม่เห็นมีกองกรวดที่ไหนเลย ท่านฯ จึงพูดว่าไปหาให้ดีเถอะ มีแน่ ๆ ที่บางบ่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ท่านฯ ไม่เคยออกจากวัดไปไหนมาก่อนเลย เหตุไฉนท่านฯ จึงรู้ว่ามีกองกรวดอยู่ คุณปลัดเองก็ขับรถเข้าออกอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเห็น หรืออาจจะเป็นเพราะคุณปลัดไม่ได้เอาใจใส่เองก็อาจจะเป็นได้ และที่ท่านได้เอ่ยปากว่าจะทำของดีให้นั้น ก็ทำให้คุณปลัดรู้สึกประหลาดใจบ้าง เพราะตามปกติท่านก็ไม่เคยให้สิ่งใดแก่คุณปลัดไว้บูชาเลย และตนเองก็เคยทราบว่าท่านมักจะไม่ปลุกเสกของให้ใครง่าย ๆ เพราะท่านเคยพูดกับคุณหมอสุพจน์ ศิริรัตน์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งคุณหมอสุพจน์ได้นำผงสมเด็จจากกรุวัดจักรวรรดิ (สามปลื้ม) บดละเอียดใส่บาตรไปไว้ทิศใต้ฐานชุกชีในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ ฯ เป็นเวลา ๑ ไตรมาส ตอนเอากลับท่านได้พูดกับคุณหมอสุพจน์ว่า ผงนี้ท่านปลุกเสกให้สำเร็จแล้ว ถ้าจะนำไปทำพระ ก็ไม่ต้องนำมาให้อาตมาปลุกเสกอีก เพียงแต่นำไปเข้าพิธีที่ไหนก็ได้ จะได้ผลเท่ากัน อาตมาเองก็ไม่อยากที่จะปลุกเสกให้นัก เพราะถ้าพระของอาตมา ที่ปลุกเสกให้ตกไปอยู่กับใคร ถ้าผู้นั้นประกอบแต่กรรมดี ผู้นั้นก็จะได้รับแต่ความเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าผู้ใดที่ประพฤติในทางที่ไม่ชอบจะเป็นกำลังหนุนให้ประพฤติมิชอบยิ่งขึ้น แต่ไม่นานก็ได้รับผลกรรมนั้น ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงไม่อยากปลุกเสกให้กับผู้ใด นอกจากท่านพระครูอุดมคุณาทรเท่านั้น (ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ)
ฉะนั้นเมื่อคุณปลัดโกศลมานึกถึงคำนี้ ก็ให้แปลกใจเป็นอันมาก ที่จู่ ๆ ท่านก็ให้ไปเก็บก้อนกรวดให้ และบอกว่าจะทำของดีด้วย ก็คิดว่าจะต้องมีอะไรเป็นพิเศษแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นท่านจะไม่เร่งเร้าเป็นอันขาด และของดีที่ท่านได้เคยปลุกเสกให้ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ซึ่งสมัยยังเป็นพระครูอุดมฯ อยู่ ก็ก่ออภินิหารศักดิ์สิทธิ์มากแก่ผู้ที่ได้รับไปบูชา จนเป็นที่เลื่อมใสในศรัทธาแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งในต่างประเทศก็เคยปรากฏว่าฝรั่งถึงกับนั่งเครื่องบินมาขอบูชาพระเครื่องของท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณก็ยังเคยมี และคุณปลัดเองก็เคยมาขอกับเจ้าคุณลุงเหมือนกัน แต่ท่านได้บอกว่าเฉพาะที่ตัวท่านแล้วไม่เคยมีพระเครื่องเลย ถ้าอยากได้ก็ให้ไปขอท่านเจ้าคุณอุดมฯ ซึ่งเป็นผู้สร้าง และท่านยังกำชับอีกด้วยว่า อย่าไปเอาของเขาฟรี ๆ นะ ต้องบริจาคเงินด้วยเพื่อเขาจะได้นำไปสร้างกุศล นี่ก็เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกไม่ยอมให้ญาติพี่น้องหรือลูกหลานของท่านไปรบกวนคนอื่น ๆ
ในวันรุ่งขึ้นตรงกับวันอาทิตย์ คุณปลัดโกศล พร้อมด้วยภรรยาคือคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร และ พ.อ. วรสนธิ วรเสียงสุขา (เดิมชื่อ พ.อ.สนธิเสียงสุขา) แต่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ท่านได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ใหม่โดยเติม วร เข้าที่หน้าชื่อและนามสกุล ทั้งสามได้นำเอารถส่วนตัวออกเที่ยวตระเวนหาก้อนกรวดจนทั่วท้องที่บางบ่อก็ยังไม่พบเลยสักก้อน จนกระทั่งขับรถจะออกมาทางบริเวณปากทางจะเข้าตัวอำเภอบางบ่อ ซึ่งตรงนั้นใกล้กับสะพานคลองเจ้า (พระองค์เจ้าไชยยานุชิต) จึงพบกองทรายเข้ากองหนึ่ง ทั้งสามจึงจอดรถเข้าไปค้นหาดูก็พบ
คุณปลัดรู้สึกดีใจมาก จึงเลือกเก็บก้อนกรวดเป็นนาน และได้มาทั้งหมดประมาณ ๒ กำมือ ใส่ถุงพลาสติกเล็ก ๆ ได้ ๓ ถุง จึงนำไปชำระล้างจนสะอาดดี
รุ่งขึ้นตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มกราคม จึงได้นำก้อนกรวดใส่ภาชนะ คือพาน และมีผ้าขาวปักดอกไม้ต่าง ๆ ปูรองอยู่ใต้พาน นำก้อนกรวดวางไว้จำนวน ๙ ก้อน ซึ่งคุณปลัดได้กะไว้สำหรับครอบครัวพอดี ตามจำนวนที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกท่านสั่งไว้ คือของบุตรคุณปลัด ๗ คน และคุณปลัดพร้อมด้วยภรรยาอีกรวมเป็น ๙ คนพอดี
ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ได้ปลุกเสกให้โดยรับไว้ในมือ เสกอยู่นานประมาณ ๑๘ นาที จึงเป็นอันเสร็จพิธี ท่านได้มอบให้กับคุณปลัดโกศล และบอกให้ไปเลี่ยมให้ลูก ๆ ห้อยคอไว้ จะเกิดสิริมงคลอันยิ่งใหญ่ และท่านได้สั่งให้ปลัดโกศลไปนำก้อนกรวดมาอีกท่านจะเสกให้
รุ่งขึ้นในวันอังคารที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๔ คุณปลัดก็ได้สั่งภรรยา คือคุณจำเนียร ปัทมสุนทร (ซึ่งเป็นหลานสะใภ้ของท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก) ซึ่งคุณจำเนียรได้เดินทางไปพร้อมกับภรรยาของข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งแห่งอำเภอบางบ่อ (สำหรับผู้นี้ไม่ประสงค์จะออกนาม ด้วยเกรงว่าจะถูกรบกวน เรื่องปฐวีธาตุ) เพียง ๒ คน เพราะคุณปลัดโกศลไม่ว่างเพราะติดราชการ จึงได้มอบหมายให้ภรรยาจัดการแทน ซึ่งเก็บได้อีก ๑ ถุงพลาสติก และได้นำไปชำระล้างอีกอย่างเคยพร้อมกับนำใส่ถาดพลาสติก และรวมทั้งของที่เก็บไว้เมื่อครั้งก่อนอีก ๓ ถุง รวมเป็น ๔ ถุง จากนั้นจึงได้นำไปให้ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกอีก
ภายหลังจากที่ท่านได้ทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อยและได้รับการชำระแผลจากนายแพทย์ไพบูลย์เป็นที่เรียบร้อย คุณปลัดโกศลจึงได้นำมาให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ภายในพระอุโบสถ โตยท่านใช้เวลาบริกรรมปลุกเสกให้อย่างตั้งใจ เป็นเวลาเท่ากับครั้งแรก และครั้งนี้ท่านก็ได้อธิบายให้คุณปลัดโกศลฟังว่า ของดีที่มีคุณค่ามากเรียกว่า พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุหมายความว่ามีจิตเมตตา ถึงใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งใดก็ไม่ว่า ประดุจพ่อแม่ของเราที่รักลูก จะมีแต่ความเมตตากรุณาต่อลูกทุกคน แม้ลูกจะกระทำสิ่งใดผิดก็จะให้อภัยเสมอ ฉะนั้นก้อนกรวดนี้จึงมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก หากจะมอบให้กับใคร ก็จงให้แก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น เพราะสิ่งของนี้มีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย และให้ผู้ที่เขารับไป จงนำก้อนกรวดนี้วางไว้ตรงกลางรูปใบโพธิ ส่วนรูปใบโพธินั้นให้เอากระดาษแข็งหรือจะเป็นโลหะ ทองเหลืออง ทองแดง เงินหรือทองคำก็ได้ ให้ตัดเป็นรูปใบโพธิ ให้เขียนเป็นตัวอักขระขอมตัว อุณาโลม ๙ ชั้น อยู่ด้านบน หางตัว อุ ชี้ตรงไปจดปลายใบโพธิ ส่วนใต้ตัว อุลงไปให้เขียนเป็นอักขระภาษาไทยก็ได้ว่า สำหรับใต้ตัว ลงไปก็ให้เขียนชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าของก้อนกรวดนั้น พร้อมกับนามสกุลด้วย แล้วจึงนำก้อนกรวดวางลงตรงกลางใบโพธิที่เขียน แล้วนำไปเลี่ยมห้อยคอ จะเกิดสิริมงคลแก่คนห้อย
สำหรับพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุท่านได้ย้ำเสมอว่า มีทั้งหมด ๙ คำด้วยกัน พร้อมกันนั้นท่านยังได้นับนิ้วมือให้ดูอีกด้วยดังนี้:-
๑. พระ
๒. พ่อแม่
๓. ธอ
๔. ระ
๕. ณี
๖. ปะ
๗. ฐะ
๘. วี
๙. ธาตุ
และเป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก ท่านชอบทำอะไรต้องลง ๙ เสมอ เช่น การบูชาพระ ท่านชอบบูชาด้วยดอกบัว ๙ ดอก รูปก็ ๙ ดอกเช่นกัน ท่านอาจจะถือเคล็ดการก้าวหน้าเสมอก็เป็นได้ เช่นการบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ของท่าน ท่านจะไม่ละความพยายามที่จะให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเสมอ ท่านไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ เลย ถึงแม้ท่านจะได้รับความทุกขเวทนาจากโรคภัย แต่ท่านก็ยังยิ้มเสมอ แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีความอดทนอย่างยอดเยี่ยมไม่มีพระภิกษุองค์ใดจะมีความมานะอย่างท่าน
และเป็นที่น่าแปลกใจยิ่ง ที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกรู้สึกกระวนกระวายมาก ที่จะให้คุณปลัดโกศลไปนำก้อนกรวดมาในครั้งนี้ แถมยังกำชับเสียหนักแน่น ไม่ให้ไปเอาจากที่อื่น จำเพาะจะต้องที่อำเภอบางบ่อแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งท่านได้ย้ำอย่างผิดสังเกตมาก แต่ก่อนมีแต่จะถูกผู้อื่นขอร้อง รบกวนให้ปลุกเสกของตลอดมา จนบางครั้งท่านยังตำหนิเอา เช่นเมื่อคราวที่พระมหารูปหนึ่ง ได้นำเหรียญกลมใส่ตะลุ่มแล้วเอาผ้าปิด เพื่อกันผู้อื่นเห็น เข้าไปขอร้องให้ท่านช่วยอธิษฐานให้ในพระอุโบสถ ตอนหลังจากทำวัตรเรียบร้อย ขณะนั้นคุณปลัดโกศลและภรรยา และผู้อื่นอีกหลายท่านอยู่ในที่นั่นด้วย ท่านได้ตำหนิเอาว่า เอ ท่านมหานี้รบกวนจริง ๆ ปลุกเสกไม่รู้จักหมดจักสิ้นกันเสียที บางรายก็จะถูกถามเอาว่า จะปลุกเสกเอาไปเพื่อประโยชน์อะไร ?
แต่ถ้าเพื่อการกุศลทางศาสนา ดังเช่นที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ท่านก็ยินดีที่จะปลุกเสกให้ เพราะท่านเคยพูดไว้ตอนหนึ่ง เมื่อคราวที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ (สมัยยังเป็นพระครู) ได้นำพระเครื่องใส่พานไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้ ท่านได้พูดกับพระมหาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่และอยู่ในที่นั้นด้วยว่า คุณไม่มีความสามารถที่สร้างได้สำเร็จเหมือนพระครูอุดม ฯ เขา ที่ท่านพูดดังนี้ เพราะพระมหารูปนี้ได้เคยไปขอร้องให้ท่านปลุกเสกของให้ และมหารูปนี้ปัจจุบันก็ยังอยู่ แต่ผู้เขียนจะไม่ขอออกชื่อ ท่านยังบ่นอีกว่า แหม พวกคุณนี่รบกวนกระทั่งคนเจ็บคนป่วย แต่ถ้ามีผู้ใดจะให้ปลุกเสกของเพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาหรือสาธารณประโยชน์ ท่านจะไม่ปริปากบ่นเลย สำหรับผู้ต้องการจะหาประโยชน์ใส่ตน ต้องถูกท่านไล่ให้กลับไปอย่างไม่ไว้หน้า ฉะนั้นพระที่ต้องการจะสร้างพระไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้ เมื่อรู้ดังนี้จึงไม่ค่อยมีใครที่จะเข้าใกล้ท่าน เพราะท่านเองก็ไม่เคยจัดสร้างพระเครื่องเลย ไม่เหมือนกับคณาจารย์อื่น ๆ
โดยปรกติท่านก็ไม่เคยมีพระเครื่องไว้แจกผู้อื่นเลย แม้แต่ญาติพี่น้องหรือลูกหลานของท่าน ท่านก็ไม่มีให้ซึ่งเราก็ย่อมรู้ได้ว่าท่านเป็นพระที่ไม่ยอมสร้างสมอะไรทั้งสิ้นไม่ บางท่านได้ทราบมาว่าท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกเคยแจกพระเครื่องเป็นรูปเหรียญด้านข้างรูปไข่ เรื่องนี้ผู้เขียนขอค้าน เพราะท่านไม่เคยมีเหรียญไว้แจกเลย อาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้ ผู้เขียนต้องขออภัยด้วย และยังมีบางท่านว่าท่านได้มอบพระเครื่องไว้ให้โดยล้วงออกมาจากในย่ามตอนลงพระอุโบสถ และลงใบหนังสือพิมพ์เสียด้วย แต่ผู้เขียนมาคิดดูและไตร่ตรองอยู่เป็นนานก็คิดไม่ตกว่าจะเป็นจริง เพราะตามธรรมดาผู้เขียนไม่เคยเห็นท่านถือย่ามเลย แม้แต่รูปถ่ายท่านก็ไม่เคยถือย่าม ดังนั้นเหตุใดท่านจะถือย่ามลงทำวัตร แม้แต่พระที่มีกิจธุระเวลาทำวัตร ท่านก็ยังไม่ถือย่ามเข้าพระอุโบสถ นอกจากพระคณาจารย์ที่มาจากที่อื่น โดยได้รับการนิมนต์มานั่งปรกท่านจึงจะถือมา ดังนั้นผู้ที่ว่าท่านได้ล้วงย่ามนำพระออกมาแจก ผู้เขียนเข้าใจคงมีการเข้าใจกันผิดก็เป็นได้
แต่ว่าในกรณีที่ท่านได้สั่งปลัดโกศลหลานท่านให้รีบไปนำก้อนกรวดมาให้ แล้วท่านก็ยังติดตามผลที่ท่านสั่งเสมอ เหมือนกับว่าท่านยังมีห่วงกังวลอะไรสักอย่าง ตั้งแต่ท่านได้ปลุกเสกพระเครื่องตลอดมา ท่านไม่เคยได้พูดอวดอ้างสรรพคุณของที่ท่านปลุกเสกให้ แต่มาคราวนี้ท่านก็ได้อธิบายให้หลานชายท่าน คือ ปลัดโกศลฟัง จะว่าเป็นการอวดอ้างของท่านเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ เป็นของชิ้นแรกที่ท่านได้ให้หลานชายท่านนำมาและเป็นของสิ่งแรกที่ท่านได้ประคองปลุกเสกโดยหันหน้าเข้าหาสิ่งของนั้น แต่.........อะไรจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับท่านได้พูดว่า ก้อนกรวดนี้ขลังมาก สามารถที่จะคุ้มครองป้องกันนิวเคลียร์ได้อีกด้วยและยังป้องกันไฟได้อีกเช่นกัน พร้อมทั้งยกนิ้วชี้ขึ้นกระดกสำทับอย่างกลัวจะไม่เชื่อ
เมื่อท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกก้อนกรวดเสร็จในตอนเย็นของวันอังคารที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๔ แล้วท่านก็ได้มอบก้อนกรวดที่ปลุกเสกทั้งหมดแก่คุณปลัดโกศล ขณะนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่เฝ้าดูท่านเจ้าคุณธมมฺวิตกฺโกอยู่ในพระอุโบสถที่มีจิตศรัทธาในตัวพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกต่างก็ลุกฮือเข้ามารุมล้อมขอของดีจากคุณปลัดโกศลกันยกใหญ่ ซึ่งปลัดโกศลก็ได้แจกแก่ผู้ที่เข้ามารุมล้อมโดยทั่วหน้ากันทุกคน ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกเห็นดังนั้น จึงบอกแก่ปลัดโกศลให้ไปเอาก้อนกรวดมาอีก ท่านยินดีที่จะเสกให้
รุ่งขึ้นตรงกับวันพุธ ที่ ๖ มกรากม ๒๕๑๔ คุณปลัดโกศลติดราชการ จึงได้มอบหมายให้คุณจำเนียรซึ่งเป็นภรรยาไปเก็บก้อนกรวดแทนอีกเช่นเคย ในครั้งนี้ก็ได้มีผู้ที่ได้ร่วมสมทบไปอีก รวม ๔ ท่านด้วยกัน เท่าที่จำได้ก็คือ คุณจำเนียร ปัทมสุนทร พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง และนายทหารยศร้อยเอกซึ่งเป็นนายแพทย์ทหารบกประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทั้งสองท่าน พร้อมกับผู้สมทบติดตามไปอีก ๑ ท่านแต่จำชื่อไม่ได้ จากนั้นทั้ง ๔ ท่าน จึงขับรถมุ่งไปยังท้องที่อำเภอบางบ่อ . โดยเก็บจากสถานที่จุดเดิมนั่นเอง เหมือนกับจะมีอะไรมาดลจิตใจทำให้แต่ละคนที่ไปด้วยกันต่างก็พยายามจะหาก้อนกรวดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าคงจะไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นทั้ง ๔ ท่านจึงได้ขอยืมตะแกรงร่อนจากคนงานที่นั่นมาช่วยกันร่อนเอาทรายออก เหลือนอกนั้นจึงคัดเอาก้อนกรวดที่งาม ๆ เท่าที่จะหาได้ เมื่อถึงตอนนี้อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพคนที่แต่งตัวดี ๆ มียศเป็นนายทหาร แต่ไปยืนถือตะแกรงร่อนทราย เหมือนกับจะหาสิ่งของที่ทำตกอย่างนั้นแหละ ถ้าผู้ที่ขับรถผ่านไปมาพบเห็นเข้า และรู้ว่าที่มาร่วมกันเพื่อต้องการแต่เพียงก้อนกรวด เขาก็จะคิดว่าพวกนี้คงจะเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ คงจะมาค้นคว้าอะไรสักอย่างเป็นแน่ และคงจะเป็นที่สงสัยแก่ชาวบ้านในย่านนั้นและผู้ที่สัญจรผ่านไปมา มีบางคนสงสัยมากถึงกับเข้าไปถามก็มี และก็ได้รับคำตอบจากคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทรไปว่า ท่านให้มาเก็บซึ่งคุณจำเนียรก็อดที่จะสงสารคนที่สงสัยไม่ได้ เพราะคำตอบที่ได้รับคนฟังย่อมไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่ดูเขาเก็บเพชรพลอยกันโดยมิได้เสียดายแม้แต่น้อย
เมื่อเก็บได้จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้พากันกลับ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง แยกส่วนที่เลือกมาได้ไว้เป็นของแต่ละคน โดยหวังที่จะให้ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกปลุกเสกให้ ส่วนคุณนายจำเนียร ปัทมะสุนทร พอถึงบ้านก็จัดเตรียมชำระล้างก้อนกรวดเป็นอย่างดี
พอวันรุ่งขึ้นตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๑๔ โดยคุณปลัดโกศลก็ได้เตรียมก้อนกรวด แต่คราวนี้ไม่กล้าจะนำไปมาก เพราะเกรงว่าท่านเจ้าคุณลุงจะหนักด้วยเหตุท่านต้องยกไว้ในอุ้งมือตลอดเวลาในการบริกรรม ปลุกเสกสำหรับก้อนกรวดนั้นคุณปลัดโกศลได้จัดไว้ในถุงพลาสติกและใส่ไว้ในถาดเหมือนอย่างเดิม และถุงนี้เองที่เป็นถุงสุดท้ายที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกได้พยายามนั่งบริกรรมปลุกเสกให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะมรณภาพ เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านก็ปรารภว่า วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย เหนื่อยเหลือเกินนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ท่านเปล่งไว้ในโบสถ์ แล้วท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกก็รีบรุดกลับกุฏิท่านทันที นี่คือการปลุกเสกก้อนกรวดหรือเพชรพลอยของท่านเป็นครั้งสุดท้ายจริง ๆ โดยไม่มีใครได้เฉลียวใจในคำพูดของท่านเลย ทั้ง ๆ ที่วันนั้นก็มีหลายท่านนั่งร่วมอยู่ในพระอุโบสถด้วย
สำหรับเรื่องปฐวีธาตุนี้คุณปลัดโกศลเป็นคนรอบคอบมาก เพราะเรื่องปฐวีธาตุเป็นเรื่องใหญ่ในปัจจุบันนี้ และเป็นการยากที่จะดูให้รู้ได้ เพราะก็เหมือนก้อนกรวดธรรมดานั่นเอง ครั้นจะใช้วิธีดูทางในก็เป็นของลึกลับ เดี๋ยวจะพบแบบที่เขาพบกันเมื่อปี พ.ศ..๒๕๐๘ ที่เขาเรียกกันว่า ยำใหญ่ ฉะนั้นคุณปลัดโกศลจึงได้ทำบัญชีหรือที่เรียกกันว่า การขึ้นทะเบียนนั่นเอง เพราะผู้ที่ได้รับไปคุณปลัดโกศลได้จดรายชื่อ นามสกุล ไว้หมด จดแม้กระทั่งของที่ได้รับไปจำนวนเท่าไหร่ วันไหน ซึ่งดูก็รู้ว่าคุณปลัดเป็นบุคคลที่รอบคอบดีจริง แต่รายชื่อนั้นถ้าใครสงสัยว่าจะได้รับของแท้หรือไม่ก็ลองโทรไปถามคุณปลัดโกศลหรือคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทรดูก็ได้ หรือถ้าเป็นการรบกวน ก็โทรไปที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ได้ แต่ผู้เขียนไม่สามารถที่จะนำรายชื่อของผู้ได้รับมาลงได้ เพราะเจ้าของที่ได้รับปฐวีธาตุบอกว่ากลัวจะมีคนไปรบกวน จึงขอสงวนนาม และเคยมีหลายท่านถามผู้เขียนว่า ปฐวีธาตุนั้นมีจริงเท่าไหร่กันแน่ ผู้เขียนก็ได้เรียนถามไปทางคุณปลัดโกศลดูแล้ว ก็ได้ทราบว่า ปัจจุบันนี้ คุณปลัดมีเหลือทั้งหมดจำนวน ๑ ถุง จะคำนวณออกมาก็หลายร้อยก้อน เพราะเมื่อคราวที่มอบให้ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปะธำรง คราวที่เสร็จพิธีครั้งสุดท้าย โดย พ.ต.ไพบูลย์ได้ใช้มือกำมาจากในถาด ๑ กำ เมื่อนับดูได้จำนวน ๕๓ ก้อน ซึ่งถ้าเรามาคำนวณกันจริง คุณปลัดโกศล ปัทมสุนทร ก็ให้ภรรยาไปเก็บมาก็หลายครั้งด้วยกัน ฉะนั้นรวมแล้วก็จำนวนมากพอดู
และคุณปลัดโกศล พร้อมด้วยภรรยา คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ก็เป็นผู้มีจิตเป็นมหากุศล คือมีผู้ที่มารับปฐวีธาตุจากคุณทั้งสองและช่วยทำบุญอุทิศ ไปถึงท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกด้วย คุณปลัดโกศล และภรรยาก็ได้นำเงินไปร่วมการกุศลกับท่านเจ้าคุณพระอุดมสารโสภณ รวมทั้งสิ้นก็หลายครั้งด้วยกัน เป็นเงินประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันเปิดป้ายโรงเรียน นวมราชานุสรณ์นครนายก คุณปลัดโกศล พร้อมด้วยคุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร จึงได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับพระราชทานเข็มทองคำ จากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นเกียรติแก่คุณปลัดโกศล และคุณนายจำเนียร และสกุลปัทมสุนทรเป็นอย่างสูงยิ่ง และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง
นี้คือผลแห่งการกระทำความดีของบุคคลในครอบครัว จึงได้รับผลของการกระทำในครั้งนี้ สมดังที่ท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกซึ่งเป็นหลวงลุงของบุคคลทั้งสอง ได้สอนไว้เสมอและไม่ว่าใครก็ตามที่ไปพบและนมัสการท่าน ท่านจะสอนเสมอว่า จงทำแต่กรรมดีนะสำหรับผู้ที่ได้รับปฐวีธาตุครั้งหลัง คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ได้ห่อใส่ผ้าไนล่อนบางตาเม็ดพริกไทยสีเขียวใบไม้ ผูกด้วยไหมญี่ปุ่น สีเหลืองสวยงามน่ารักมาก คุณนายจำเนียร ปัทมสุนทร ได้เล่าว่า เขียวเหลือง นั้นเป็นสัญลักษณ์ของวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งเจ้าคุณลุงได้กล่าวไว้

36: ทำไม "ปฐวีธาตุ" จึงมีความแตกต่างจากพระเครื่องมากมายนัก

บทความรวบรวมจากหลายแหล่ง : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

พระพุทธปฐวีธาตุ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์
      
ปฐวีธาตุ: คือหินที่อยู่ในน้ำที่ผ่านการเจียรไนจากธรรมชาติเป็นร้อยเป็นพันปีจนใสแสงผ่านได้ เมื่อเอามือไปบังที่ก้อนปฐวีธาตุจะแลเห็นและต้องเป็นหินจากใต้แม่น้ำโขง ณ ตำแหน่งบริเวณที่ท่านได้กำหนดบอกให้ไปเก็บเท่านั้น เนื่องจากพญานาคราชได้ถวายให้ท่านดุจเดียวกัน หินที่ได้รับการถวายจากพญานาคราชนี้ถือเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดจากธาตุลมมีกายสิทธิ์ฝ่ายสัมมาทิฐิเข้าครองซึ่งส่วนใหญ่กายสิทธิ์เหล่านี้จะบรรลุธรรมขั้นสูงอีกทั้งได้รับการอธิษฐานจิตจากพระเถระเจ้าที่ทรงคุณวิเศษจึงกล่าวได้ว่ามีอิทธิปาฎิหาริย์ และพุทธานุภาพ เหนือชั้นกว่าเหล็กไหลและให้คุณแก่ผู้ครอบครอง ล้วนแล้วแต่สร้างอภินิหารและประสบการณ์ให้กับผู้บูชานับจำนวนไม่ถ้วน ทั้งเรื่องแคล้วคลาด คงกระพัน ปลอดภัย โชคลาภ และเมตตามหานิยมนำไปแช่น้ำทำน้ำมนต์แก้คุณไสยได้ ถ้าจะให้ได้ผลดีควรให้ได้สัมผัสไอตัวผู้ใช้ให้มากที่สุด

ปฐวีธาตุต่างจากพระเครื่องตรงที่กรวดจากแม่น้ำโขงซึ่งหลวงปู่นำมาอธิษฐานเหล่านั้น พวกนาคเขาถือว่าเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของเขา กรวดเหล่านั้นจึงมีพลังงานของพวกเขาติดมาด้วย และเมื่อได้รับการอธิษฐานด้วยกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนอย่างยากที่เราจะเข้าใจ ก็จะทำให้กรวดเหล่านั้นเกิดพลังงานมหาศาลชนิดที่เราก็ไม่เข้าใจอีกอยู่ดีว่า เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

พลังงานมหาศาลที่ว่านี้ "หลวงปู่คำพันธ์" รับรองว่า กันนิวเคลียร์ได้

เมื่อปฐวีธาตุซึ่งมีพลังงานแฝงอยู่แล้ว ได้รับการอธิษฐานจากจิตที่มีพลังงานมหาศาลเพราะได้รับการฝึกฝนมาดีเยี่ยม พุ่งกระแสลงไปสู่หินเป็นจุดเดียว กระแสจิตที่แรงกล้าเกิดกระทบกับพลังงานที่อยู่ในหินแล้วกระจายตัวออกเป็นวง กว้าง เป็นคลื่นรังสีที่มีพลัง งานแรงสูง พอที่จะให้ความคุ้มครองผู้บูชาตามที่ผู้อธิษฐานได้ "ตั้งโปรแกรม” ไว้

นอกเหนือไปจากหมู่นาคทั้งหลายที่จะขึ้นมาพิทักษ์รักษาผู้ครอบครองปฐวีธาตุ เมื่อยามเกิดภัยพิบัติตามคำทำนาย ชนิดปฐวีธาตุ 1 องค์ ต่อพญานาค 1 ตน ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวไม่อาจมีในพระเครื่องที่ถูก "สร้าง" ขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ ผิดกับ "ปฐวีธาตุ" ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากผลงานของธรรมชาติ จึงเก็บประจุพลังงานจากธาตุทั้งสี่และรังสีจากจักรวาลมาเนิ่นนานนับได้เป็นล้าน ๆ ปี

ธาตุกายสิทธิ์ จะปรากฏต่อเมื่อมีผู้ทรงคุณวิเศษปฏิบัติได้ถึงขั้นกายสิทธิ์ อย่างเช่น ปฐวีธาตุ ของท่านเจ้าคุณนร ท่านให้ไปเก็บหินใต้น้ำที่บางบ่อเท่านั้น ห้ามเก็บจากที่อื่น เนื่องจากที่นั่นได้มีพญานาคราชได้ถวายกายสิทธิ์ให้แก่ท่าน เช่นเดียวกันกับปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันธ์ ที่ต้องเป็นหินจากใต้แม่น้ำโขง ณ ตำแหน่งบริเวณที่ท่านได้กำหนดบอกให้ไปเก็บ เนื่องจากพญานาคราชได้ถวายให้ท่านดุจเดียวกัน หินที่ได้รับการถวายจากพญานาคราชนี้ ถือเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดจากธาตุลม มีกายสิทธิ์ฝ่ายสัมมาทิฐิเข้าครอง ซึ่งส่วนใหญ่กายสิทธิ์เหล่านี้จะบรรลุธรรมขั้นสูง อีกทั้งได้รับการอธิษฐานจิตจากพระเถระเจ้าที่ทรงคุณวิเศษ จึงกล่าวได้ว่ามีอิทธิปาฎิหาริย์ และพุทธานุภาพ เหนือชั้นกว่าเหล็กไหล และให้คุณแก่ผู้ครอบครอง

ซึ่งก็ตรงตามที่หลวงปู่คำพันเคยบอก ว่า "ผู้ที่จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้น ต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้ที่มาทางสายวิชาอาคมไม่ได้เลย" และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไม "ปฐวีธาตุ" จึงมีความแตกต่างจากพระเครื่องมากมายนัก

แก้วนาคราช หรือ "ปัฐวีธาตุ" จากลำน้ำโขง

ธาตุกายสิทธิ์อีกชนิดนึ่งที่พบได้ในบ้านเรา กายสิทธิ์ชนิดนี้เป็น "หินแก้ว" ที่เกิดอยู่ภายใต้ลำน้ำโขง กายสิทธิ์ชนิดนี้แหละครับที่เราจัดว่าเป็น "เพชรพญานาค" โดยแท้เพราะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมาก ครูบาอาจารย์ที่มีญาณสื่อกับพญานาคได้ ท่านจะนำเอาหินชนิดนี้มาทำการเสกอธิฐานให้เป็นของที่มีฤทธิ์เพิ่มขึ้นตามใจ ปราถนา ฝากให้พญานาคท่านช่วยดูแลคุ้มครองผู้ที่ได้รับ

ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ไป ผู้ที่ได้ฌานได้ญาณหลายท่านเมื่อนั่งตรวจดูด้วยทางใน ก็มักพบว่ามีเทพยดาที่เป็นนาคราช หรือพญานาครักษาดูแลอยู่ แม้ว่าเป็นหินที่อาจหาพอได้ตามแม่น้ำลำธารแต่ก็ประมาทไม่ได้ ในธรรมชาตินั้นมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นเสมอดั่ง เช่น "หินแก้วใต้น้ำ" หรือที่เรียกกันว่า "ปฐวีธาตุ"

ลักษณะของ "ปฐวีธาตุ" นั้นมีรูปร่างกลมบ้าง แบนบ้าง บางชิ้นเรียวยาวเป็นรูปลักบี้ และมักมีลัษณะมน เนื่องจากถูกกระแสน้ำพัดกลิ้งไปมาอยู่โดยตลอด อำนาจจากกระแสน้ำได้ทำการเจียหิน กลึงหิน ด้วยอำนาจจากธรรมชาติจึงทำให้หินแก้วเหล่านี้มีลักษณะกลมมน ดูแล้วสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ บางชิ้นอาจมีรูปทรงที่ไม่แน่นอน สีขาวใสคล้ายสาคู โปร่งแสน บางชิ้นก็ขาวขุ่น ใครเห็นแล้วก็จะรู้สึกชอบในรูปร่างของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ทันที

บางท่านอาจเรียกว่า "เพชรพญานาค" ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะสิ่งนี้มีญาณพญานาครักษาดูแลอยู่ ในความเป็นจริงเราอาจพบปฐวีธาตุหรือหินแก้วใต้น้ำได้จากหลายๆ สถานที่ แต่สำหรับสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแก้วใต้น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดต้องเป็นหินแก้วใต้น้ำที่มาจากแม่น้ำโขงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะแม่น้ำโขงเป็นเวียงวังของเหล่าบรรดา "นาคราช" ทั้งปวง เป็นสายน้ำแห่งความศักดิ์สิทธิ์
หินปฐวีธาตุนี้ ถือว่าเป็นกายสิทธิ์จากเมืองบาดาล เป็นบริวารของดวงแก้วบรมจักรพรรดิ์ บางชิ้นนี้มีกายทิพย์ชั้นจุลจักรรักษา บางชิ้นมีกายในเป็นพระมหาจักรพรรดิ บางชิ้นมีกายในเป็นพระบรมจักรพรรดิ์ก็มีต้องให้ผู้ที่ได้ตาใน หรือได้ธรรมกายตรวจสอบดูจึงทราบได้แน่ชัด

นอกจากนี้กายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ปฐวีธาตุยังถือว่าเป็นกายสิทธิ์ที่มีพลานุภาพจากธาตุน้ำ หรือเด่นในอาโปธาตุ ผู้ที่บูชาจะพบกับความร่มเย็นเป็นสุข และเกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บุคคลผู้นั้น เพราะตามธรรมชาติธาตุน้ำ เป็นธาตุแห่งความอุดมสมบูรณ์ และยังมีอำนาจทางเส่นห์เมตตามหานิยมอย่างยอดเยี่ยมด้วย

แก้วกายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ที่เรียกว่า "ปฐวีธาตุ" นี้นับว่าเป็นแก้วจักรพรรดิชนิดหนึ่ง ที่ให้คุณทางด้านบันดาลลางสังหรณ์ บันดาลความสำเร็จ ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง เป็นวัตถุธาตุที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับพญานาคได้ ผู้ที่ได้สมาธิจิตมี ศีล สมาธิ ปัญญาอันอบรมดีแล้วเท่านั้นจึงสามารถครอบครองกายสิทธิ์ชนิดนี้ได้ และสามารถนำกายสิทธิ์ชนิดนี้มาอธิฐานจิตเพื่อประกอบการกุศลได้ด้วย

"แก้วปฐวีธาตุ" หรือ "แก้วนาคราช" นี้ถือว่าเป็นดวงแก้วที่มีตัว คำว่า "มีตัว" ในภาษาชาวบ้านนั้นหมายถึงมีชีวิต มีจิตใจจิตวิญญาณอยู่ภายในนั้นเอง สามารถแสดงฤทธิ์ด้วยตัวเองได้ ดูเป็นของตายแต่ที่จริงเป็นของมีชีวิต หากดวงแก้วนาคราชเห็นว่าผู้ใดไม่ควรอยู่ด้วยท่านก็จะเสด็จหนีหายไป แต่หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านย่อมบันดาลสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น รวมทั้งอาจทำให้องค์อื่นๆ เสด็จมาเพิ่มอีกอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง


ทั้งหมดนี้เป็น "ตำนานแก้วนาคราช" โดย...ป๊อก เชลซี ทิพยจักร
ที่มา - หนังสือธาตุกายสิทธิ์พิชิตโรค

++++++++++++++++++++++++++++++++

ย้อนไปเมื่อสมัยท่านเจ้าคุณนรฯ ยังทรงสังขารอยู่ ท่านเคยปรารภว่า พระรูปเหมือนนั่งใบโพธิ์ของท่านประสบความสำเร็จ (คือมีคนนิยมมาก) ต่อไปจะมีผู้ร้างพระใบโพธิ์อีกมากมายแต่ไม่ประสบความสำเร็จดังเช่นของท่าน หากจะมีพระทางภาคอีสานรูปหนึ่ง ประสบความสำเร็จในพระรูปเหมือนใบโพธิ์เช่นของท่าน แต่พระรูปนั้นจะต้องอธิษฐานจิตปฐวีธาตุได้ด้วย จึงได้เกิดการตามหาพระรูปนั้นหลังจากที่สิ้นท่านเจ้าคุณนรฯ ไปแล้ว

หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม คือพระรูปนั้น ท่านได้ทำปฐวีธาตุแจกศิษย์มาแต่ปี พ.ศ. 2495 ก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ เสียอีก ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้รับตำราการอธิษฐานจิต“ ปฐวีธาตุ” มาตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มโดยได้มีชายผู้หนึ่งได้นำมาถวายให้ท่านตามคำสั่ง เสียของบิดาก่อนตาย โดยบิดาของชายผู้นั้นได้สั่งกำชับบุตรชายไว้ว่า เมื่อพ่อตายแล้วจงเอาคัมภีร์เล่มนี้ไปมอบให้กับหลวงพ่อคำพันธ์แต่เพียงรูป เดียวเท่านั้น ซึ่งตำราเล่มนั้นเขียนด้วย “ตัวธัมใหญ่” ทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นอักขระที่มีความศักดิ์สิทธ์สูงสุด ใช้จารเฉพาะตำราชั้นสูงเท่านั้น เป็นตำราที่ว่าด้วยการ “อธิษฐานปฐวีธาต” สามารถทำธาตุธรรมชาติธรรมดาให้มีอานุภาพ มีพลังงานขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ท่านจึงศึกษาวิธีการจนแตกฉาน จดจำได้ทุกขั้นตอน ในเวลาต่อมาก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาขอตำรานั้นไป ท่านก็กรุณามอบให้ ทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใคร

หลวง ปู่คำพันธ์ได้เมตตาอธิบายถึงคุณลักษณะของปฐวีธาตุที่ถูกต้องตามตำราทุก ประการว่า ต้องเป็นกรวดที่แช่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติเท่านั้น จะอยู่บนบกไม่ได้ ตัวกรวดเมื่อเก็บขึ้นมาต้องมีลักษณะเดิมตามธรรมชาติของเขา จะบิ่น จะแตกหักหรือร้าวไม่ได้เลย ที่สำคัญสุดยอด คือต้อง “โปร่งแสง” เท่านั้น และด้วยคุณลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันเป็นของหายากที่สุด

แม้ว่าทางวัดจะพำยายามแก้ไขด้วยการนำกรวดจากแม่น้ำโขงชนิดขุ่นมาถวายท่าน อธิษฐานแทนก็ตาม แต่ก็หาถูกต้องตามตำราบังคับไม่ หากท่านก็อนุโลมให้เป็นปฐวีธาตุได้เช่นกัน ผิดกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆเช่น ท่านเจ้าคุณนรฯ “ปฐวีธาตุ” ของท่านจะต้องได้มาจากอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น จะใสหรือขุ่น ใหญ่หรือเล็กไม่สำคัญ นอกจากนี้ในตำรายังได้ระบุไว้ว่า ผู้จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้นต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้เล่นทางสายวิชาคือ คาถาอาคมไม่ได้เลย

มูลเหตุของการอธิษฐานจิตปฐวีธาตุ

สืบเนื่องจากในช่วงก่อนปี 2500 บ้านเมืองยังเต็มไปด้วยผู้ก่อการร้าย ทำให้เหล่าทหาร ตำรวจและข้าราชการต่างๆ มาขอของดีจากท่านเอาไว้คุ้มตัว ท่านจึงได้ให้เหล่าทหารและชาวบ้านไปเก็บหินในแม่น้ำโขงมาให้ท่านอธิษฐานจิต ท่านบอกว่า ท่านเสกด้วยพระคาถาชินบัญชรเช่นเดียวกับปฐวีธาตุของท่านเจ้าคุณนรฯ แล้วเสกหนุนธาตุต่างๆตั้งให้เป็นองค์พระและธาตุปฐวีคือ ธาตุหินนี้แกร่ง ท่านจึงเรียกปฐวีธาตุของท่านว่า “ พระเพชร “

ลป.คำพันธ์ ท่านเก่งในการคุมธาตุสี่ น้ำ ดิน ลม ไฟ จนเป็นที่ยอมรับโดยทั่ว ลป.โต๊ะฯ ก็อีกรูปหนึ่ง เมื่อท่านนำ”ปฐวีธาตุ”มาเสกก็จะเรียกธาตุ 4 ทีละธาตุแล้วรวมธาตุเป็นหนึ่ง เสกบรรจุลงในก้อนปฐวีธาตุนั้น เมื่อนำมาใช้ธาตุสี่ในตัวเราก็จะผสานกับปฐวีธาตุนั้น สรรพคุณสุดแท้จะอธิษฐานเอา ในเวลาอธิษฐานปฐวีธาตุหลวงปู่ท่านจะอธิษฐานว่า ให้ป้องกันภัยอันจะเกิดแต่ธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดแต่มนุษย์ก็ดี กันได้ทั้งสิ้น กันภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต ท่านเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่า “เสกครอบลงไป” การเสกแบบนี้ไม่เหมือนกับการเสกพระเครื่องทั่วไปของท่าน ท่านจึงย้ำว่า “ ปฐวีธาตุนี้เป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ ”

หลวงปู่คำพันธ์ท่านเคยกล่าวกับลูกศิษย์ถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของ ปฐวีธาตุของท่านว่า คุ้มครอง คุ้มภัย กันฟ้า กันไฟ ปฐวีธาตุแห่งแม่น้ำโขงนี้เป็นธาตุเย็น อานุภาพแห่งองค์พระเพชร สามารถป้องกันภัยอันเกิดจากรังสีความร้อนที่จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

การบูชาปฐวีธาตุ

หลวงปู่สั่งว่า เมื่อได้มาแล้วถ้าจะบูชาติดตัวก็พยายามเลี่ยมแบบเปิดหน้า เปิดหลังให้ปฐวีธาตุได้สัมผัสกับไอของร่างกาย ธาตุจะดึงดูดซึ่งกันและกันปรารถนาสิ่งใดก็ให้ตั้งจิตเอา ปฐวีธาตุช่วยได้ แต่ถ้าบูชาอยู่กับบ้าน ให้เอาปฐวีธาตุแช่น้ำสะอาดตั้งบูชาไว้บนที่สูง ใส่น้ำอบ น้ำหอมผสมลงในน้ำเป็นการบูชา ลอยด้วยดอกมะลิหรือดอกไม้หอมอื่นก็ได้ จุดธูปบูชา 7 ดอก สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วต่อด้วยพระคาถานี้

“ หิตะหิรา มันทิโล กะสิรา กะละลาสติ โสจะถิโห คะเนตะเน ” ( 3จบ ) แล้วตั้งจิตระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดา บิดาคุณครูบาอาจารย์ พระคุณของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ เหล่าพญานาคผู้รักษาองค์พระธาตุพนมและพระธาตุมหาชัย และทั้งที่สถิตอยู่ในลำน้ำโขงปรารถนาสิ่งใดก็อธิษฐานเอา หลวงปู่บอกว่า ปฐวีธาตุมีคุณวิเศษครอบจักรวาลมีทุกข์ร้อนสิ่งใดก็ให้บอกกล่าว สามารถช่วยเหลือได้จริง

การลอยดอกไม้ในน้ำให้ทำเฉพาะวันพระ เมื่อหมดวันพระแล้วให้ช้อนดอกไม้ออกอย่าให้เน่าเสียคาภาชนะเด็ดขาด น้ำหล่อปฐวีธาตุถ้าจะเปลี่ยนให้นำไปประพรมบ้านเรือนหรือสาดขึ้นหลังคาบ้าน เป็นสิริมงคลนัก กันภัยนานาชนิด

หมายเหตุ การที่หลวงปู่ท่านให้แขวนแบบเปิด ไม่ได้หมายความว่ากลัวพุทธคุณจะออกมาไม่ได้ แต่เป็นวิธีการ "ใช้งาน" ในแบบเฉพาะของวัตถุมงคลประเภทนี้ ที่ทำแบบนั้นก็เพราะต้องการให้กระแสธาตุในร่างกายเราได้สัมผัสกระแสธาตุใน องค์ปฐวีธาตุพลังงานในปฐวีธาตุน่ะออกมาหาเราได้ แต่พลังงานในกายเราเข้าไปหาเขาไม่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้อง "เลี่ยมเปิด" เพื่อสงเคราะห์ตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือท่าน




ปฐวีธาตุต่างกับพระเครื่องอย่างไร
ปฐวีธาตุต่างจากพระเครื่องตรงที่กรวดจากแม่น้ำโขงซึ่งหลวงปู่นำมาอธิษฐาน เหล่านั้น พวกนาคเขาถือว่าเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของเขา กรวดเหล่านั้นจึงมีพลังงานของพวกเขาติดมาด้วย และเมื่อได้รับการอธิษฐานด้วยกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนอย่างยากที่เราจะ เข้าใจ ก็จะทำให้กรวดเหล่านั้นเกิดพลังงานมหาศาลชนิดที่เราก็ไม่เข้าใจอีกอยู่ดีว่า เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

พลังงานมหาศาลที่ว่านี้ หลวงปู่คำพันธ์รับรองว่า กันนิวเคลียร์ได้

เมื่อปฐวีธาตุซึ่งมีพลังงานแฝงอยู่แล้ว ได้รับการอธิษฐานจากจิตที่มีพลังงานมหาศาลเพราะได้รับการฝึกฝนมาดีเยี่ยม พุ่งกระแสลงไปสู่หินเป็นจุดเดียว กระแสจิตที่แรงกล้าเกิดกระทบกับพลังงานที่อยู่ในหินแล้วกระจายตัวออกเป็นวง กว้าง เป็นคลื่นรังสีที่มีพลัง งานแรงสูง พอที่จะให้ความคุ้มครองผู้บูชาตามที่ผู้อธิษฐานได้ "ตั้งโปรแกรม” ไว้

นอกเหนือไปจากหมู่นาคทั้งหลายที่จะขึ้นมาพิทักษ์รักษาผู้ครอบครองปฐวี ธาตุเมื่อยามเกิดภัยพิบัติตามคำทำนาย ชนิดปฐวีธาตุ 1 องค์ ต่อพญานาค 1 ตน ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวไม่อาจมีในพระเครื่องที่ถูก "สร้าง" ขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ ผิดกับ "ปฐวีธาตุ" ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากผลงานของธรรมชาติ จึงเก็บประจุพลังงานจากธาตุทั้งสี่และรังสีจากจักรวาลมาเนิ่นนานนับได้เป็น ล้าน ๆ ปี

ครูบาอาจารย์ผู้มีจิตอัศจรรย์เข้าถึงหลักธรรมชาติอย่างถ่องแท้จึงมักทำ ปฐวีธาตุให้ศิษย์ อาทิ ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม ท่านพ่อเมือง พลวัฑโฒ วัดป่ามัชฌิมวาส ซึ่งก็ตรงตามที่หลวงปู่คำพันเคยบอกว่า "ผู้ที่จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้น ต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้ที่มาทางสายวิชาอาคมไม่ได้เลย" และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไม "ปฐวีธาตุ" จึงมีความแตกต่างจากพระเครื่องมากมายนัก

ข้อมูล Amulet

++++++++++++++++++++++++++++++++



ปฐวีธาตุ ที่สุดแห่งขลัง ของหลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์
ตลอดชีวิตของคน “ทำ” พระเป็น ย่อมรู้แน่แก่ใจว่าเครื่องมงคลชิ้นใดที่ตนได้ “บรรจุคุณ” ไว้อย่างเต็มที่ที่สุด หรือทราบชัดว่า ของสิ่งใดที่ทรงไว้ซึ่ง “อานุภาพ” อย่างถึงที่สุด แล้วมักเก็บงำของนั้นไว้เป็นอย่างดี ไม่ใคร่ตกถึงมือใครง่ายๆ ดังเช่นของสิ่งอื่นทั่วไป เช่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ยากที่ใครจะได้ตะกรุดธาตุหก, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ยากที่ใครจะได้พระพรหมผง และสำหรับหลวงปู่คำพัน


ใครจะเอาปฐวีธาตุก็ยากนัก คงเป็นเพราะท่านเหล่านั้นเกรงว่าผู้รับจะไม่รู้ถึงคุณค่าของของนั้น หรือไม่ก็กลัวผู้รับไปจะเปลี่ยนใจเป็นโจรในภายหลัง ซึ่งจะยากแก่การปราบปราม ผมก็เดาได้แค่นี้แหละ

ในศักดิ์สิทธิ์ฉบับก่อนโน้นที่เคยกล่าวถึงของป้องกันนิวเคลียร์ได้ มีหลายท่าน จ.ม. ไปถามผมว่ากันอย่างไรได้ระเบิดตกลงมาตรงหน้ายังกันได้หรือ? โถ ! ถ้าถึงขนาดนั้นอย่าว่าแต่คนแขวนเลย พระก็คงจะป่นนะครับ ที่ผมบอกว่าป้องกันได้นั้น หมายถึง กัน “กัมมันตภาพรังสี” ต่างหาก เป็นที่แน่ชัดว่าประเทศไทยไม่ถูกบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์ดังเช่นที่ญี่ปุ่นเคยดอก แต่กัมมันตภาพรังสีที่ฟุ้งกระจายไปในชั้นบรรยากาศมันจะมากับอากาศที่หายใจกับเมฆ กับฝน และแม่น้ำ ลำธารต่างๆ ฝุ่นรังสีย่อมปนเปื้อนอยู่ทั่วไป มงคลวัตถุที่ท่านผู้ทรงคุณทั้งหลายเจริญภาวนาให้ จะมีอานุภาพทำลายกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นให้มีสภาวะเป็นกลาง ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย

ไม่ใช่ระเบิดตกลงหลังคาบ้านแล้วไม่ตายครับ

นั่นเป็นความเชื่อของผมโดยส่วนตัว ใครจะเชื่อก็ไม่ว่า ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่าเป็นของธรรมชาติอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนสัตว์โลกอยู่เป็นนาน คนเชื่อก็มีคนไม่เชื่อก็มี สำมะหาอะไรกับผม

คนไม่เชื่อหยุดอ่านก่อนได้เพื่อความสบายใจ ส่วนคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างเชิญอ่านต่อไป เพราะผมจะเข้าเรื่องสำคัญ

ย้อนไปเมื่อสมัยท่านเจ้าคุณนรฯ ยังทรงสังขารอยู่ ท่านเคยปรารภว่า พระรูปเหมือนนั่งในใบโพธิ์ของท่านประสบความสำเร็จ (คือมีคนนิยมมาก) ต่อไปจะมีผู้สร้างพระใบโพธิ์อีกมากมายแต่ไม่ประสบความสำเร็จดังเช่นของท่าน

 
หากจะมีพระทางภาคอีสานรูปหนึ่ง ประสบความสำเร็จในพระรูปเหมือนใบโพธิ์เช่นของท่าน แต่พระรูปนั้นจะต้องอธิษฐานจิตปฐวีธาตุได้ด้วย

ปรารภนี้เป็นที่น่าสนใจ ใครที่รู้ต่างก็ออกแสวงหาพระผู้เสกปฐวีธาตุเป็น คำว่า “เป็น” ของท่านคุณนรฯ คงหมายถึงทำได้มากจนแพร่หลายไปในหมู่ชนได้ ไม่ใช่ทำเพียงแค่ก้อนสองก้อนก็จบ

หากันอยู่นาน ก็ระแคะระคายว่ามีพระทางจังหวัดนครพนมรูปหนึ่ง ท่านทำปฐวีธาตุได้ เอ ! หรือท่านจะ “รับมุข” ที่ท่านเจ้าคุณนรฯพูด ทว่า เมื่อเช็คกับผู้รู้ท่านหนึ่งท่านว่าพระเถระรูปนั้นทำปฐวีธาตุแจกศิษย์มาแต่ปี พ.ศ. 2495 ก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ เสียอีก

 

จึงออกสืบเสาะจนได้ความว่าเป็น หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ
หลวงปู่คำพันทราบถึงวิธีการอธิษฐานปฐวีธาตุได้อย่างไร มันมีที่มาอย่างนี้ครับ

กลับไปหลายสิบปีก่อน ครั้งหลวงปู่คำพันยังเป็นพระหนุ่ม ๆ มีผู้เฒ่าที่ครอบครองตำราสำคัญอยู่ นัยว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ครั้นชายชราใกล้ถึงที่สุดแห่งอายุขัย ก็ได้สั่งกำชับบุตรชายว่า เมื่อพ่อตายแล้วจงเอาคัมภีร์เล่มนี้ไปมอบให้กับหลวงพ่อคำพันแต่เพียงรูปเดียวเท่านั้น

สั่งความได้ไม่นานก็ลาโลกนี้ไป บุตรชายก็ทำตามสั่งทุกประการ นำตำราไปมอบให้หลวงพ่อคำพัน เมื่อท่านเปิดอ่านก็ปรากฏว่าตัวอักษรในนั้น เป็น “ตัวธัมใหญ่” ทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นอักขระที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ใช้จารเฉพาะตำราชั้นสูงเท่านั้น

เมื่ออ่านไปเรื่อยจึงทราบว่าหนังสือนั้นเป็นตำราที่ว่าด้วยการ “อธิษฐานปฐวีธาต” สามารถทำธาตุธรรมชาติธรรมดาให้มีอานุภาพ มีพลังงานขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ท่านจึงศึกษาวิธีการจนแตกฉาน จดจำได้ทุกขั้นตอน ในเวลาต่อมาก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาขอตำรานั้นไป ท่านก็กรุณามอบให้ ทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใคร

หลวงปู่คำพันได้เมตตาอธิบายถึงคุณลักษณะของปฐวีธาตุที่ถูกต้องตามตำราทุกประการว่า ต้องเป็นกรวดที่แช่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติเท่านั้น จะอยู่บนบกไม่ได้ ตัวกรวดเมื่อเก็บขึ้นมาต้องมีลักษณะเดิมตามธรรมชาติของเขา จะบิ่น จะแตกหักหรือร้าวไม่ได้เลย

ที่สำคัญสุดยอด คือต้อง “โปร่งแสง” เท่านั้น

คำว่าโปร่งแสงหมายถึง แสงสามารถลอดทะลุผ่านได้ ไม่ใช่โปร่งใส ถ้าโปร่งใสจะหมายถึงมองทะลุเห็นภาพอีกด้านได้ ซึ่งคงไม่มีกรวดชนิดใดเป็นเช่นนั้นแน่ หรือถ้ามีคงหายากสุดๆ

และด้วยคุณลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันเป็นของหายากที่สุด แม้ว่าทางวัดจะพยายามแก้ไขด้วยการนำกรวดจากแม่น้ำโขงชนิดขุ่นมาถวายท่านอธิษฐานแทนก็ตาม มันก็หาถูกต้องตามตำราบังคับไม่ หากท่านก็อนุโลมให้เป็นปฐวีธาตุได้เช่นกัน

ผิดกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่นท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วยท่านมีข้อแม้กับปฐวีธาตุว่า ต้องอยู่ในอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น ส่วนจะใสหรือขุ่น จะใหญ่หรือเล็ก ท่านไม่เอามาเป็นประมาณ

ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ไม่เพียงท่านเจ้าคุณนรฯ หรือหลวงปู่คำพันเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุได้ พระมหาเถระผู้ทรงคุณสูงสุดคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ก็ทำปฐวีธาตุ แต่ง่ายดายมาก ด้วยการให้ศิษย์เก็บเอากรวดที่ข้างกุฏิท่านนั่นแหละมาอธิษฐาน

หาง่ายแต่หายาก

“หา” แรกง่าย เพราะเอากรวดข้างกุฏิไม่ต้องไปไกล “หา” หลังยาก เพราะของไม่มี คนอยากได้ก็ฝันไปก่อน รวมทั้งผม

ไม่เพียงหลวงปู่ขาวเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ก็ทำ ทำจริงๆนะ มีคนใกล้ชิดที่เชื่อถือได้ ได้รับจากมือหลวงปู่ดูลย์มาจริงๆ

ก็น่าแปลกที่ท่านเหล่านั้นสามารถทราบได้ว่ากรวดธรรมดาหากกำหนดจิตให้เป็นของมีพลังงานด้วยกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนเกินปุถุชนจะเข้าถึงได้ละก็ ย่อมมีอานุภาพสุดจะประมาณ

ขนาดกันนิวเคลียร์ได้ก็แล้วกัน

หลวงปู่คำพันบอกว่า ในตำราระบุไว้ว่าผู้จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้นต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้เล่นทางสายวิชาคือคาถาอาคมไม่ได้เลย จึงหมดสงสัยว่าทำไมหลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ก็ทำเป็น

ปฐวีธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่น ผมไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานจิตในการป้องกันอย่างไร แต่ของ
หลวงปู่คำพันท่านอธิษฐานว่า

ให้ป้องกันภัยอันจะเกิดแต่ธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดแต่มนุษย์ก็ดี กันได้ทั้งสิ้น กันภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต

ท่านเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่า “เสกครอบลงไป”

การเสกแบบนี้ไม่เหมือนกับการเสกพระเครื่องทั่วไปของท่าน ท่านจึงย้ำว่า “ปฐวีธาตุนี้เป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” เหนือกว่าวัตถุมงคลทั้งปวงของท่าน

ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารย์สัมปันโน ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่คำพัน คิดหาปฐวีธาตุ ชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการมาถวายหลวงปู่คำพันเสก จึงหาอาสาสมัครได้พระ เณร และญาติโยมจำนวนหนึ่ง ออกค้นหาปฐวีธาตุในลำน้ำโขง

การตามล่าหาของดีในคราวนั้นเป็นความยุ่งยากลำบากเหลือแสน เพราะน้ำในแม่น้ำโขง เย็นยะเยียบ เมื่อลงแช่ไปนานๆ ก็เกิดหนาวสั่นจับไข้ไม่สบายกันถ้วนหน้า อีกทั้งกรวดที่ควานขึ้นมานับร้อยๆ ก้อนในแต่ละครั้ง จะมีใสตามตำราสักก้อนก็แสนยาก

บางก้อนใสแจ๋วแต่บิ่นก็ต้องทิ้งไป เวลาทิ้งก็ต้องเอาไปทิ้งไกล ไม่อย่างนั้นเวลางมลงไปก็เจอก้อนเก่าอีก บางทีลุยป่าหญ้าเข้าไปหาในที่ที่ว่างเปล่า งมๆ อยู่เจ้าของที่ก็มาไล่เพราะเขาไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันก็มี จึงเป็นความทุกข์สาหัสของผู้ออกหาจริงๆ ทีมล่าปฐวีธาตุดำเนินการอยู่นานนับเดือน ปรากฏปฐวีธาตุชนิดถูกแบบ 100 % ได้เพียง 200 กว่าก้อนเท่านั้น

เป็นของยืนยันว่าหายากแท้ๆ

เมื่อนำปฐวีธาตุไปถวายหลวงปู่คำพันอธิษฐานจิตแล้ว คณะผู้ค้นหาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ของดีขนาดนี้จะทำอย่างไรจึงสมควร ถ้าเพียงแต่เก็บงำเอาไว้กับคนบางคนก็จะตกอยู่แค่นั้น และต่อไปในกาลข้างหน้า ใครจะทราบไว้ว่ากรวดก้อนนี้คืออะไร ?

จึงตกลงใจสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คำพัน ขนาด 3 นิ้วเศษๆ ด้วยเนื้อว่าน แล้วบรรจุของสำคัญสุดยอดนี้ลงไปเพื่อให้อยู่เป็นที่เป็นทาง และเพื่อเพิ่มความเป็นมหามงคลให้กับรูปเหมือน

พระรุ่นนี้สร้างในปี พ.ศ. 2538 มีจำนวนเพียง 227 องค์ เท่ากับจำนวนศีลของพระ รูปเหมือนทั้งหมดดำเนินการปลุกเสกแบบ “บินเดี่ยว” โดยหลวงปู่คำพันในอุโบสถโบราณของวัดแก่งตอย เป็นการเสกแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสำหรับพระบูชา 3 นิ้ว, รูปเหมือนลอยองค์เนื้อว่าน ชนิดแขวนคอ รุ่น 2 และพระอุปคุตพันฤทธิ์ มีเรื่องแปลกอยู่ว่าขณะดำเนินการสร้างรูปเหมือนแบบบูชานี้อยู่ หลวงปู่คำพันก็ให้คนมาเอารูปเหมือนที่เสร็จก่อนเพื่อนไป 2 องค์ บอกว่าเพื่อเอาไปเสกก่อน แล้วมอบให้กับศิษย์คนสำคัญในวงการ 2 คน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระรูปเหมือนรุ่นนี้ยิ่งนัก

เมื่อผู้เสกถูกใจ คงไม่ต้องคิดให้มากว่าจะดีวิเศษอย่างไร ผมเห็นปฐวีธาตุเป็นของที่ดีที่สุดอยู่แล้ว จะหาชนิดถูกแบบอย่างนี้ก็หายาก ในเมื่อมีบรรจุอยู่ในรูปเหมือนนี้ ก็ต้องคว้าไว้ก่อน

ปัจจุบันรูปเหมือนแบบบูชารุ่นแรกยังพอมีเหลืออยู่ที่ท่านพระอาจารย์เวทย์เจ้าอาวาสวัดแก่งตอย จำนวนที่เหลืออยู่เข้าใจว่าราว 30 องค์ ทราบว่าทางวัดยังคงอัตราค่าบูชาไว้เท่าเดิม คือ 1,500 บาท ถ้าจะว่าแพงก็จงดูความละเอียดประณีตของงานก่อนเถิด ทั้งผง ทั้งเส้นเกศา ทั้งปฐวีธาตุชนิดถูกแบบล้วนมีอยู่ในพระรุ่นนี้อย่างสมบูรณ์ (บทความนี้เขียนไว้หลายปีแล้ว) ที่สำคัญ ราคานี้หลวงปู่คำพันเป็นผู้ตั้งเอง

ปัจจัยทั้งหมดหาได้ตกอยู่กับใครไม่ แม้แต่หลวงปู่คำพันผู้เป็นองค์เสก แต่จะเป็นทุนในการบูรณะวัดแก่งตอย ซึ่งเป็นวัดร้างมาเนิ่นนานในอดีตให้กลับเจริญรุ่งเรืองใช้ประโยชน์ได้สมเป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา

ได้ทั้งของดี ได้ทั้งบุญ จะเอาอย่างไรอีก

ใครคิดว่าจะบูชามาเพื่อแกะปฐวีธาตุออกแขวนผมก็ไม่ว่ากัน

สมัยก่อนที่ คุณอำพล เจน อนุญาตให้บริเวณบ้านเป็นสนามลองพระอยู่นั้น ได้มีการหยิบยกเอาปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันชนิดไม่ถูกแบบมาทดสอบให้เห็นจริง โดยระบบ “ยิง” ซึ่งเป็นระบบพิสูจน์ให้เห็นจริงกันได้จะจะตา

คุณอำพลไม่ได้เป็นคนยิง ผู้ยิงเป็นตำรวจแม่นปืน แต่แม่นปืนก็ยังไม่ชัวร์ จึงต้องเอาปืนจ่อปฐวีธาตุในระยะ “เผาขน” ปากกระบอกปืน ห่างจากปฐวีธาตุไม่เกิน 1 นิ้ว เรียกว่าใครดีใครอยู่

ก่อนจะกดเปรี้ยงลงไป

ผลคือลูกปืนแฉลบผ่านองค์ธาตุไปได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งในระยะจ่อยิงขนาดนั้น อย่าว่าแต่ปฐวีธาตุเลย ให้ยิงเด็ดหนวดยุงตัวผู้ก็คงไม่พลาด เป็นที่ประจักษ์ว่าคงอานุภาพด้านแคล้วคลาดกันภัยได้จริง

แม้ว่าปฐวีธาตุก้อนนั้นจะเป็นชนิดไม่ต้องตามตำราก็ตาม

แล้วถ้าถูกต้องตามตำราเล่า

++++++++++++++++++++++++++++++++
“ปฐวีธาตุ” ที่สุดแห่งขลังของ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ ภาค 2
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์
ในศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 341 เมื่อต้นปีที่แล้ว ผมได้เคยเรียนให้ทราบถึงความเป็นมาและอานุภาพของ “ปฐวีธาตุ” มรดกขลังที่น่าอัศจรรย์ในพุทธคุณของหลวงปู่คำพัน ผู้เป็น “เพชรบนยอดมงกุฏ” แห่งเมืองนครพนม

ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมากร หรือ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ

หลายท่านขวนขวายหาจนน่าเห็นใจในความศรัทธา บ้างบุกบั่นฟันฝ่าไปขอกับหลวงปู่ถึงนครพนม ครั้นท่านว่าที่ท่านไม่มี แต่ไปมีอยู่ที่ศิษย์เอกคือ ท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดแก่งตอย เมืองอุบลฯ ก็โลดแล่นไปพบจนถึงที่ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะหมด

หมดกระทั่งเม็ดสุดท้ายในย่าม

องค์สุดท้ายนั้นเป็นของเฉพาะที่หลวงปู่คำพันมอบให้ท่านพระอาจารย์เวทย์กับมือ ท่านจึงเก็บรักษาดังแก้วตาดวงใจ ไม่มีของขลังอื่นใดนอกจากปฐวีธาตุในย่าม คิดดู...แต่แล้วก็มาถูกควักดวงใจไปอีก “ให้” ด้วยความเมตตาที่ไม่มีประมาณของท่านแท้ ๆ

ต้นเหตุคือผมหรือเปล่าหนอ?

พระอาจารย์เวทย์ อาจารสัมปันโน
ก็เพราะมีคนหูดีตาถึงออกเสาะหากันมาก ท่านพระอาจารย์และคณะจึงหารือร่วมกัน และเห็นพ้องไปในทางเดียวไม่มีทางแยก คือ ติดตามล่าหาปฐวีธาตุกันอีกสักครั้ง

ข่าวการอาพาธที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกทีของหลวงปู่คำพัน เป็นดังพลังมหาศาลที่ผลักดันให้คณะค้นหาปฐวีธาตุ เร่งมือกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้แน่นอน จึงจำเป็นยิ่งที่ต้องรีบทำกิจอันควรให้เสร็จเสียโดยไว ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกิน

ทว่าการหาปฐวีธาตุไม่ใช่ของง่ายสะดวกดายดังที่เคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่ายากเพียงใด น้ำในแม่น้ำโขงทั้งเชี่ยว ทั้งเย็น จึงเป็นอุปสรรคต่อการควานกรวดโดยรวมขึ้นมาแล้วต้องแยกแยะขุ่น-ใสออกจากกัน ก่อนจะถึงขั้นตอนคัดก้อนใสที่ไม่บิ่น, ไม่แตก, ไม่ร้าว อีกที

ท่ามกลางกระแสน้ำที่เย็นยะเยือกแต่เบื้องบนคือแดดที่แผดเผา คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กลั่นกรองทีมงานให้งวดคน ท่านพระอาจารย์เวทย์จึงจำต้องใช้ปัจจัยหรืออีกนัยก็คือ “เงิน” ดี ๆ นี่แหละ เข้าไปเชิญชวนคนขยันมาร่วมกันขุดค้นของที่หายากที่สุดในแผ่นดิน

คณะล่าปฐวีธาตุทำงานกันอย่างแข็งขัน-ใส่ใจ ครั้นลุถึงกลางปี 40 ก็หาปฐวีธาตุได้เป็นจำนวน 1,000 ก้อนพอดิบพอดี ฟังดูเหมือนว่าจะเยอะ แต่ถ้าให้นับกรวดต่าง ๆ ที่ควานขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาแล้ว ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ต้องทิ้งไป...เปรียบมวยกันละก็

ปลาซิวกัดกับปลาบึกนั่นแล

หากว่าการหากรวดในลำน้ำโขงเป็นงานยากดุจกำฝุ่นโต้ลม แล้วทำไมจึงไม่เสาะหาเอาจากแหล่งน้ำต่าง ๆ เล่า เรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวพันไปถึงผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา ได้ปรารภกับหลวงปู่เอาไว้

คราวหนึ่งที่หลวงปู่กำลังนั่งภาวนา ปรากฏมานพหนุ่มขึ้นในท่ามกลางสมาธิ ชายผู้นั้นกล่าวเชิญชวนหลวงปู่คำพันให้ไปยังดินแดนซึ่งตนอาศัยอยู่ด้วยความเคารพยิ่ง หลวงปู่ก็หาขัดไม่ กำหนดจิตตามผู้นิมนต์นั้นไปด้วยอาการอันสงบ ปรากฏว่าบุรุษนั้นพาท่านมาเหนือลำน้ำสายใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งท่านคุ้นตาเป็นที่สุด จิตของท่านบอกกับตัวเองว่านี้คือแม่น้ำโขง ก่อนที่ท่านจะดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำ

เมื่อถึงจุดหนึ่งในแม่น้ำ หลวงปู่ได้พบวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกรวด แต่เปล่งแสงเรืองรองออกเป็นประกายพรึกดังเพชรลูก ระยิบระยับเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วท้องน้ำ ชายลึกลับได้เรียนให้หลวงปู่ฟังว่า ของนี้มีพลังอยู่ในตัว แต่ขอให้หลวงปู่เก็บเอาไปเพื่ออธิษฐานจิตอีกครั้ง แล้วสิ่งนี้จะกลายเป็นวัตถุมงคลที่มีอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง

และกราบเรียนหลวงปู่เสียด้วยว่า มนุษย์คนใดก็ตามที่มีศีลธรรมได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในของมงคลนี้ไว้โดยชอบแล้ว พวกเขาจะขึ้นจากดินแดนข้างล่างมาคุ้มครองทุกคนที่มีวัตถุนี้อยู่กับตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติ

เรียกว่า 1 ต่อ 1 เลยทีเดียว
ครั้นหลวงปู่คำพันออกจากสมาธิ ท่านก็มาลำดับเรื่องราวที่ได้พบเห็น แล้วในวันที่ว่างจากภาระท่านก็เดินทางไปดูสถานที่ที่จิตท่านมาหยุดชม “วัตถุประหลาด” น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่ท่านเสาะหาทำเลนั้นจนพบ อีกทั้งทิวทัศน์รอบ ๆ ยังเหมือนกับที่ท่านได้เห็นในนิมิตทุกประการ

ผิดกันตรงไม่มี “วัตถุประหลาด” นั้นแม้เงา

ก็อาจเป็นไปไดที่ “สิ่งนั้น” จะอยู่ต่ำใต้กระแสน้ำลึกลงไปจนสามัญชนไม่อาจล้วงควักกันให้เพลินมือ หลวงปู่จึงขยายพื้นที่ในการสืบค้นต่อไป แล้วท่านก็ได้พบแหล่งของ “กรวดมหัศจรรย์” นั้นจริง ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากจุดหมายในคราวแรก รุ่นหนึ่งนั้นจึงถือได้ว่าท่านดำเนินการเองโดยตลอดตั้งแต่เก็บจนถึงเสก

น่าแปลกที่ไม่มีใครสามารถย่ำรอยเดิมของท่านได้อีก ไม่ว่าจะขุดคุ้ยสักเท่าไร ณ ที่แห่งนั้นก็ไม่มีกรวดที่ต้องตามตำราให้เก็บอีกเลย “เขา” มาเอาคืนไปหรือเรือดูดทรายมันมาเอาไปก็ไม่รู้

แต่ที่แน่ ๆ คณะของท่านพระอาจารย์เวทย์แทบจะพลิกท้องน้ำขึ้นหาสิ่งดังกล่าว ความอุตสาหะเช่นนี้แม้ผมก็ไม่อาจทำได้ จึงยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวนอนคอยแม่นกเอาเหยื่อมาป้อนใส่ ท่านผู้อยู่ใต้ลำน้ำโขงนั้นอยากจะมาคุ้มครองคนหลังไม่สั้นเช่นผมไหมนี่ ?

พูดถึงผู้อยู่ต่างภพต่างภูมิในลำน้ำโขงนั้นจะเป็นใครกัน ผมก็ไม่อาจบ่งชัดลงไปได้ ทราบเพียงหลวงปู่คำพันปรารภถึงท่านผู้เป็นเจ้าของกรวดว่า

“นาค เป็นผู้ที่มีสามธาตุ จึงมีฤทธิ์มาก สามารถคุ้มครองผู้บูชาปฐวีธาตุนี้ได้” !!


"ปฐวีธาตุ" ชนิดถูกต้องตามตำรา




ในกลางปี 40 ที่ท่านอาจารย์เวทย์ได้ปฐวีธาตุชนิดถูกแบบจำนวน 1,000 องค์ มาแล้วนั้น ก็ปรากฏว่าไม่อาจนำขึ้นถวายให้หลวงปู่คำพันแผ่เมตตาให้ได้ เพราะหลวงปู่มีอาการอาพาธเป็นอันมากด้วยวัยที่ชราภาพถึง 82 ปี ความเมตตาที่ทำให้ท่านต้องไปในงานนิมนต์แทบทุกงานทั้งไกล-ใกล้ ต้องรับแขกซึ่งหลั่งไหลมาจากทุกทิศานุทิศ ณ วัดธาตุมหาชัยทุกวัน ๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบั่นทอนสุขภาพของท่านให้ทรุดโทรมลง ความกตัญญูต้องมาเป็นที่หนึ่ง ท่านอาจารย์เวทย์จึงต้องระงับการเสกเอาไว้ เฝ้าดูแลพระอุปัชฌาย์จนมีอาการดีขึ้น กระทั่งมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อม จึงได้ขอโอกาสนำปฐวีธาตุเข้าถวาย ซึ่งหลวงปู่ก็รับไว้ด้วยความยินดีในของที่ถูกต้องตามตำราทุกประการ

ปฐวีธาตุชุดนี้นับแต่วันที่ท่านรับไว้เสกจนถึงวันที่ท่านคืนให้ เบ็ดเสร็จได้ 4 เดือน

เลยไตรมาสเสียอีก

การเดินทางอันยาวนานบนเส้นทางขลัง ปฐวีธาตุจัดได้ว่าเป็นมงคลวัตถุที่น่าทึ่งทั้งในความเป็นมา และพลังงานอันไร้ขอบเขตในตัวเองซึ่งยากจะหาสิ่งใดมาทัดเทียม นับแต่ท่านเจ้าคุณนรฯ แห่งวัดเทพศิรินทรฯ ได้ประกาศในคุณานุภาพของปฐวีธาตุ ล่วงมาจนถึงหลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ของนั้นแม้น่าไขว่คว้าแสวงหา แต่ก็ไม่น่าจะคว้าพอ ๆ กัน

ใครเล่าจะยืนยันได้ว่า กรวดนี้ ก้อนนั้น มีพุทธคุณอยู่จริง ใครเล่าที่ครอบครองของแท้อยู่ในมือแล้วจะปล่อยให้หลุดหาย

ดังนั้นเรื่องของปฐวีธาตุที่ว่า “กันนิวเคลียร์และกันไฟได้” ดังคำท่านเจ้าคุณนรฯ กำชับ จึงเป็นเพียงฝันของผู้ศรัทธา

แต่วันนี้เรามีคนทำความปรารถนาให้เป็นจริง ปฐวีธาตุ 500 องค์ ใน 1,000 องค์ถูกแบ่งออกนำถวายท่านผู้ทรงคุณธรรมสูงท่านหนึ่ง อีก 500 องค์ ท่านอาจารย์เวทย์ยังคงเก็บรักษาไว้ ครั้นแบ่งปันในหมู่ศิษย์ที่เป็นกำลังสำคัญให้ท่านแล้ว ก็ยังมีเหลืออยู่ราว 400 องค์เศษ ตรงนี้แหละที่จะเป็นของเรา

เมื่อผมคุยกับท่านอาจารย์ถึงปฐวีธาตุ 400 องค์ ว่าจะทำอย่างไร ท่านได้กล่าวว่าในวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 นี้ ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมากร หรือ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ มีเมตตานำกองผ้าป่าซึ่งท่านเป็นองค์ประธาน ไปทอดถวาย ณ วัดบ้านวังแคน ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งพระสงฆ์ที่นั่นจะเป็นผู้รับจตุปัจจัยกับกองผ้าป่า และ 1 ในคณะสงฆ์นั้นก็มีท่านอาจารย์เวทย์รวมอยู่ด้วย เพราะวัดบ้านวังแคนเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน
ที่สำคัญเหนืออื่นใดปัจจัยทั้งหมดที่ได้จากการนี้ ท่านจะมอบให้กับการศึกษาอำเภอพิบูลมังสาหาร เพื่อเข้ามูลนิธิพัฒนาเด็กเรียนดี ซึ่งมีความประพฤติดีแต่มีฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่ไม่อาจส่งเสียให้เรียนต่อได้ทั้งที่มีปัญญาถึงพร้อม ก็ต้องลาออกอย่างน่าเสียดายในอนาคตซึ่งควรจะไปได้ไกลว่าที่เป็นอยู่
ท่านอาจารย์เวทย์จึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือโอบอุ้มเด็กเหล่านั้น ให้มีการศึกษาต่อไปเท่าที่สติปัญญาเขาจะเอื้ออำนวย เพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องการปัจจัยไปเพื่อให้เด็ก ไม่ใช่เพื่อให้ท่าน และด้วยน้ำใจอันงาม ท่านจึงคิดตอบแทนผู้ร่วมทำบุญโดยจะมอบปฐวีธาตุให้กับทุกท่านที่บริจาคปัจจัย

ผมตาเหลือก

ก็ท่านจะให้ทุกคนที่ทำบุญ หมื่นนึงก็ให้ พันถึงร้อยก็ให้ แล้วถ้าเขาทำสิบ-ยี่สิบท่านก็ให้ ผมถามหน่อยว่าท่านจะเอาที่ไหนมาแจกหนักหนา ถ้าผมทำ หมื่นบาทได้รับ 1 องค์ ไปนั่งคุยกับใครก็ไม่รู้ถืออยู่ 1 องค์ ผมถามว่าบริจาคไปเท่าไร เขาตอบ 50 บาท
ผมจะรู้สึกอย่างไร ?
มันมีข้อเหลื่อมล้ำอย่างนี้เอง ที่สำคัญถ้าให้บูชาองค์ละร้อย ปฐวีธาตุมี 400 องค์ จะได้ปัจจัย 40,000 บาท ตั้งกองทุนด้วยเงินสี่หมื่นอย่างไรได้ นักเรียนคนหนึ่งมีค่าเทอม, ค่ารถ, ค่าอาหาร, ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์การศึกษา เช่น ดินสอ, ไม้บรรทัด ฯลฯ และอีกมากมายที่คนเคยเรียนหนังสือมาก่อนจะทราบได้ดี
เพียงนักเรียนมีสัก 50 คน เงิน 40,000 จะฉุดลากไปได้แค่ไหนกัน ?
ผมกราบเรียนท่านไปอย่างนี้ ท่านก็นิ่งเงียบ ผมทราบในใจท่านดีว่า ท่านไม่ประสงค์จะให้เช่าหากท่านอยากจะตอบแทนใครก็ได้ที่มีเมตตาต่อเด็กยากจน ท่านมีน้ำใจของท่านอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร

ทว่า โปรดเข้าใจสักหน่อยเถิด ปฐวีธาตุเป็นของหาง่ายกระนั้นหรือ ก่อนจะได้มาท่านทุ่มเททั้งค่าแรง ค่ารถ ฯลฯ และแม้แต่องค์เสกคือหลวงปู่คำพัน กว่าท่านจะยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ กว่าท่านจะเข้าถึงข้อบังคับในตำราที่ระบุไว้ ท่านเพียรสักแค่ไหนเล่า ?

ผมคิดถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจที่จะบอกว่า ผมขอความกรุณาให้ท่านร่วมเป็นกรรมการทอดผ้าป่าสามัคคี กองละ 1,000 บาท โดยจะใช้ทุนส่วนตัวของท่านเอง หรือบอกบุญหมู่เพื่อนก็ไม่ว่ากัน แต่ทุก ๆกอง เราจะมอบปฐวีธาตุชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการให้ 1 องค์
ณ เวลานี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ปฐวีธาตุจะถือกำเนิดขึ้นในโลกโดยน้ำมือของหลวงปู่คำพัน พระมหาเถระที่แข็งกล้าในวิปัสสนาญาณแห่งลุ่มน้ำโขง เพราะความชราภาพของหลวงปู่ประการหนึ่ง และเพราะค่าใช้จ่ายบวกกับความลำบากเหลือแสนเพื่อการเสาะหาประการหนึ่ง
หากจะดุด่าเฆี่ยนตีผมทางใจ โปรดทบทวนสักนิดเถิดครับว่า ปัจจัยทุกบาททุกสตางค์คือท่านได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่คำพันและท่านพระอาจารย์เวทย์ โดยมอบความรู้ให้แก่เด็กด้อยโอกาส ซ้ำท่านยังได้ “ของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” ดังคำกล่าวของหลวงปู่ไปบูชา

ไม่คุ้มหรือครับ

ผมเชื่อว่าท่านที่เห็นความสำคัญของการให้การศึกษาต่อเด็กมีอยู่ ได้เวลาที่ท่านทั้งหลายจะขวนขวายสร้างมหากุศลกันอีกแล้วล่ะ

ผมเป็นแต่เพียงผู้บอกครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++
“ปฐวีธาตุ” ที่สุดแห่งขลังของ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ ภาค 3
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์




ตั้งแต่เรื่องราวของปฐวีธาตุในองค์หลวงปู่คำพัน ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ศรัทธานำไปสักการะบูชากันมากมาย บ้างก็ประสบเหตุน่าพิศวงจนยากจะหาคำตอบ บ้างก็พบกับปรากฏการณ์ที่เรียกศรัทธาความเลื่อมใสในอิทธิคุณของปฐวีธาตุและองค์หลวงปู่คำพันให้ยิ่งขึ้นไปอีก

และไม่น้อยเช่นกันที่บูชาแล้วยังเงียบขรึมไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นระทึกใจ เคยมีศิษย์คนหนึ่งกล้าออกปากถามหลวงปู่เอาตรง ๆ ว่า บูชาพระหลวงปู่มาตั้งนานแต่ไม่เห็นมีประสบการณ์อะไรเลย ท่านตอบศิษย์อย่างเป็นธรรมโดยแท้ว่า

“ไม่มีประสบการณ์นั่นแหละคือประสบการณ์”
พระสุนทรธรรมากร (คำพัน โฆษปัญโญ) วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม

ฟังแล้วก็ได้คิดว่าเหตุใดครูบาอาจารย์จึงบอกว่าแคล้วคลาดนั้นดีที่สุด ไม่เจ็บตัว และไม่เจ็บใจ เพราะ
อาศัยความเคารพในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมีหลวงปู่คำพันเป็นที่สุดนั้นเองเป็นเหตุให้เกิดบุญกุศลขึ้น และพลังของบุญกุศลนี้ก็ผลักดันให้เรื่องไม่ดีหายสิ้น ที่หนักก็เป็นเบา ที่เบาก็หมดไป

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เคยบอกว่า การที่เราเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยโดยมีการกราบไหว้บูชาหรือระลึกถึงอยู่นั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นของเล็กน้อย แต่เป็นบุญอันมหาศาลในทุก ๆ ครั้งที่นึกถึงพุทโธอยู่

ผมจึงมีความเห็นว่า ใครก็ตามที่ได้ครอบครองแล้วซึ่งปฐวีธาตุ ขอจงได้หมั่นทำการสักการบูชา จงให้ความเคารพบูชาจากใจจริงเถิด เชื่อว่าไม่ช้าท่านก็ได้ประจักษ์ชัดกับคุณานุภาพที่แฝงเร้นอยู่ในปฐวีธาตุอย่างน่าอัศจรรย์

พลังงานซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดและปราศจากขอบเขตของปฐวีธาตุ อันเกิดจากกระบวนการอธิษฐานทางจิตที่ซับซ้อนของหลวงปู่คำพัน ผนวกกับจิตวิญญาณซึ่งประมาณจำนวนไม่ได้ในผู้เป็นเจ้าของเดิมอยู่ก่อน ได้สร้างประสบการณ์ซึ่งยากจะหาคำตอบให้กับผู้มีปฐวีธาตุอยู่ในมือหลายต่อหลายครั้ง จนหลวงปู่คำพันถึงกับออกปากว่า


“ที่หลวงปู่เป็นที่รู้จักของลูกศิษย์จำนวนมาก ก็เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของปฐวีธาตุ”
"ปฐวีธาตุ" ชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการ รุ่นเสก 4 เดือน พ.ศ.2540
จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านเคยปรารภว่า “ปฐวีธาตุเป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” ผู้ที่ได้จงภูมิใจเถิดเพราะท่านกำลังครอบครองซึ่งของสูงค่าในทุก ๆ ทางอยู่ในมือ ด้วยมงคลวัตถุนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายดาย เมื่อเปรียบกับสิ่งสักการะทั้งหลายในโลกของวัตถุมงคล

คิดดูแล้วกันว่าแม้แต่หลวงปู่คำพันเอง ท่านก็ยังนำเอาปฐวีธาตุนี้แช่น้ำสะอาดตั้งบูชาไว้ในที่สูง และเมื่อท่านจะทำน้ำมนต์ก็ดี อธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องของขลังใด ๆ ก็ดี ท่านจะต้องนำปฐวีธาตุมาอธิษฐานประกอบตลอดเวลาทุกครั้งไป

สำคัญไหมเล่า ?
ท่านทำประดุจว่าในความเป็นปฐวีธาตุนั้นมี ‘ธาตุรู้’ อะไรบางอย่างสิงสถิตอยู่ ‘ธาตุ’ ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง แปลกแยกออกไปจากรูปเหรียญต่าง ๆ ของหลวงปู่ที่เป็นเพียง ‘ภาชนะ’ บรรจุคุณ

ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ปฐวีธาตุต้องมีอะไรที่ลึกลับเกินปุถุชนอย่างผมจะเข้าไปรู้ได้ซุกซ่อนอยู่ภายใน สิ่งซึ่งไม่มีในวัตถุมงคลทั่วไป และสิ่งนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุเป็นวัตถุมงคลที่ยิ่งกว่าวัตถุมงคล

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 คุณเสถียร จิยะพงศ์ พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ จ.เชียงใหม่ ได้ส่งจดหมายพร้อมหลักฐานไปถึงท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารสัมปันโน ที่เมืองอุบลฯ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่พบได้ยากจึงขอนำมาลงให้อ่านโดยทั่วกัน

-----------------------------------------------------------
นมัสการท่านพระอาจารย์เวทย์
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ค่อนรุ่งของเช้าวันอาทิตย์ กระผมได้ฝันว่าไปในสถานที่หนึ่ง ได้ก้มลงเก็บปฐวีธาตุใส่ในกระเป๋าเสื้อ แต่สะดุ้งตื่นเสียก่อนด้วยความเสียดายที่เก็บไม่หมด พอมาทำงานเช้าวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. เพื่อนร่วมงานคือ นายนาวิน เอื้อพิทักษ์ ซึ่งได้บูชารูปเหมือนของหลวงปู่คำพันองค์ละ 1,500 บาท ได้เล่าให้ฟังว่า เขาได้แกะเอาปฐวีธาตุที่อยู่ใต้รูปเหมือนไปทดลองยิง โดยขอร้องให้รองสวป. สภอ.เมืองเชียงใหม่ คือ ร.ต.อ. วชิระ แพงไทยสง ทำการยิงในระยะ 2 เมตรด้วยปืน .38

โดยขออนุญาติทางจิตต่อหลวงปู่ว่าจะทำการยิงเพียง 1 นัด เมื่อนำองค์ปฐวีธาตุใส่กล่องกำมะหยี่สีเขียวแล้วตั้ง ทำการยิงพอกระสุนระเบิด ปรากฏว่ากล่องกระเด็นจากที่ตั้ง แต่ไม่ปรากฏรอยกระสุนเลย จึงนำองค์ปฐวีธาตุออกจากกล่องแล้วทำการยิงอีก 2 นัด ผลออกมากระสุนทะลุทั้ง 2 นัดตามที่กระผมได้ส่งมาให้พระอาจารย์ดูพร้อมจดหมายฉบับนี้
กล่องกำมะหยี่ที่นำมาทดลองยิง มองจากด้านบน ก่อนจะแยกส่วนดู

กล่องกำมะหยี่เมื่อแยกออกเป็น 2 ชิ้น เพื่อดูให้ชัดจะเห็นรอยทะลุของกระสุนปืนที่วิ่งผ่านไป 2 นัด

สิ่งที่บุคคลทั้งสองทำการทดลองยิงนั้น กระผมไม่แปลกใจเท่าไร เพราะอย่างไร ๆกระผมก็เชื่อว่าองค์ปฐวีธาตุมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่มีสิ่งแปลกและมหัศจรรย์เกิดขึ้นก่อนการทดลองนั้นซิครับน่าสนใจจริง ๆ

ในตอนเช้าขณะที่นายนาวินกำลังแกะองค์ปฐวีธาตุจากรูปเหมือนของหลวงปู่ที่อยู่ใต้ฐาน และได้ฟังเพลงจากเทปจนหมดเพลงสุดท้ายแล้ว ปรากฏมีเสียงผู้ชายพูดขึ้นว่า

“ช่วยไม่ได้”

พร้อม ๆ กับองค์ปฐวีธาตุหลุดจากใต้ฐานรูปเหมือนของหลวงปู่ ทำให้นายนาวินตกใจที่มีเสียงพูดเช่นนั้นอยู่ในเทปได้อย่างไร เมื่อกรอเทปนั้นฟังใหม่ ก็หาคำพูดคำดังกล่าวไม่พบเลย ซึ่งเทปม้วนนั้นกระผมก็ได้ทดลองเปิดฟังแล้วครับ แล้วยังมีเหตุการณ์ต่ออีก เมื่อนำองค์ปฐวีธาตุมาส่องดูว่าแสงทะลุผ่านหรือไม่ องค์ปฐวีธาตุเกิดหลุดจากมืออีกหาไม่พบ จึงได้อาราธนาพระคาถาของหลวงปู่บุดดาที่ใช้หาหรือขอของที่หาย จึงได้หาพบครับ

ด้วยเหตุดังกล่าว คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ซึ่งเทพเทวดาที่ดูแลคงไม่ปรารถนาจะให้ทำการทดลองจึงมาบอกเหตุล่วงหน้า แต่ไม่สามรถทัดทานได้ จึงมีคำพูดออกมาจากเทปดังกล่าวข้างต้น กระผมจึงมีความปลื้มใจที่ทำให้เขาได้มีความเคารพและมีศรัทธาด้วยตนเอง

จึงเรียนมาให้ท่านพระอาจารย์ทราบ
นายเสถียร จิยะพงศ์


-----------------------------------------------------------
เป็นอีกหนึ่งในหลายร้อยเรื่องราวปาฏิหาริย์ซึ่งเป็น ‘ปัจจัตตัง’ คือรู้จำเพาะตน ยากที่คนทั่วไปจะรู้ตามหากไม่ได้ประสบกับตนเอง ผมนึกดีใจที่คุณเสถียรและคุณนาวินจะได้บูชาปฐวีธาตุนี้ด้วยศรัทธาจากใจจริง โดยไม่มีความลังเลสงสัยมากางกั้นอีกต่อไป


ความเห็นของผมที่ว่ามีอะไรบางอย่างแฝงเร้นอยู่ในปฐวีธาตุ นอกเหนือไปจากพลังงานธรรมชาติในตัวของเขาเองและความสามารถทางจิตของหลวงปู่ที่บรรจุอยู่
บัดนี้มีพยานที่ 1 แล้ว
ต่อไปจะทำการชี้ตัวพยานที่ 2 ซึ่งได้ให้ปากคำกับท่านพระอาจารย์เวทย์ เป็นจดหมายไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2541 ดังต่อไปนี้
----------------------------------------------------------

กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เวทย์ที่เคารพอย่างสูง

หลวงพี่คงจำผมได้นะครับ ผมนายสมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล ที่เคยได้รับเมตตาจากหลวงพี่ส่งปฐวีธาตุให้ผม หลังจากที่ได้รับปฐวีธาตุจากหลวงพี่ ผมก็นำเรื่องไปเล่าให้พี่ชายภรรยาฟัง พี่ชายภรรยาก็บอกผมว่าเดี๋ยวนี้หลงงมงายถึงขนาดไหว้ก้อนหินแล้วหรือ ผมก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองคือ ชักท้อถอยเพราะถูกตำหนิดูแคลน

ผมจึงอธิษฐานต่อปฐวีธาตุในบางคืนก่อนนอนบางครั้งผมก็นำมาไว้ในฝ่ามือนั่งสมาธิด้วย ก่อนนอนก็นำไว้ใต้หมอน ทุกครั้งที่หนุนศรีษะนอนผมก็จะฝันถึงเมืองบาดาลบ้าง เมืองอะไรคล้าย ๆโลกอื่นบ้าง ผมจึงนำเรื่องไปเล่าให้ลูกศิษย์ของอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ฟังซึ่งอาจารย์เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ศิษย์ของอาจารย์ศุภรัตน์บอกว่า ไหน ๆ ก็ไม่แน่ใจในปฐวีธาตุว่าเป็นก้อนหินธรรมดาหรือไม่ ก็อยากจะขอปฐวีธาตุไปป่นเป็นผงผสมในมวลสารที่อาจารย์ศุภรัตน์กำลังสร้างพระเครื่องอยู่พอดี

ในคืนวันที่ 20 มี.ค. 2541 ผมจึงนำปฐวีธาตุมาอธิษฐานว่า มีคนมาขอท่านไปทำมวลสาร มีคนดูแคลนผมว่านับถือก้อนหิน และที่ฝันเห็นก็ไม่มีอะไรยืนยันความจริง ผมขอตั้งจิตต่อท่านว่า ถ้าคืนนี้ความฝันไม่มีอะไรแน่ชัด ผมจะมอบปฐวีธาตุให้คนอื่นไปทำมวลสารสร้างพระเครื่องแล้วนะ

คืนนั้นเอง ผมก็เห็นมานพหนุ่ม 2 คน มาปรากฏกายต่อหน้าผม ในความรู้สึกผมรู้ว่าชายทั้งสองคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

อย่ามอบปฐวีธาตุให้คนอื่นไป แต่จงหาพระธาตุมาบูชาคู่กันกับปฐวีธาตุเป็นระยะเวลาหนึ่ง พออายุมากกว่านี้จะถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่แต่ไม่ใช่ขณะนี้ และความเคลือบแคลงสงสัย หรือการถูกผู้อื่นดูถูกดูแคลนนั้น ขอให้หายสงสัยได้เลย เพราะปฐวีธาตุนี้เป็นสิ่งที่เราเหล่ามานพและคนธรรพ์ใช้เป็นสื่อติดต่อกับมนุษย์ได้ และเพื่อยืนยันว่าเป็นความจริง เราจะบอกเลข 3 ตัวให้และเลข 3 ตัวนี้จะออกในวันที่ 1 เมษายน ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องเผื่ออะไรทั้งสิ้น”

พอชายหนุ่มท่านนั้นพูดมาถึงตรงนี้ ผมจึงถามว่า

“ท่านมาจากที่ใด”

ชายคนนั้นตอบว่า

“เรามาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 3”

ผู้ชายที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งกล่าวว่า

“อ้าว! ท่านไม่ใช่มาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 1 ดอกหรือ”

ชายคนแรกพูดว่า

“บอกแล้วว่า เรามาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 3 แล้วอย่าลืมว่านี่คือข้อพิสูจน์ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องเผื่อใด ๆ ทั้งสิ้น”

พอถึงตรงนี้ผมก็ตกใจตื่นและจำเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ ผมพยายามหาตามแผงขายล็อตเตอรี่ก็ไม่มีเบอร์ 563 และงวดวันที่ 1 เมษายน 2541 เลขท้าย 3 ตัว ชุดหนึ่งออก 563 ตรงเผงเลย

นี่คือข้อพิสูจน์ถึงปฐวีธาตุว่าไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา เพราะทุกครั้งที่เอามาหนุนใต้หมอนนอน ก็มักจะฝันถึงโลกอื่นซึ่งไม่ใช่โลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายสองคนนั้นมายืนยันว่าจะให้เบอร์ตรงเผงเป็นข้อพิสูจน์ก็เป็นจริง

ผมจึงเขียนมาเล่าให้หลวงพี่ฟัง และหากหลวงพี่จะเมตตาผมอีก ผมขอพระธาตุเพื่อนำมาบูชาคู่กับปฐวีธาตุให้เหมือนในฝันซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความจริง

หวังในเมตตาธรรมของหลวงพี่ในการตอบจดหมายและในการส่งพระธาตุให้ผมบูชาคู่กับปฐวีธาตุด้วย และผมจะพร้อมยืนยันความเป็นจริงในเรื่องนี้

ขอนมัสการลาหลวงพี่มา ณ ที่นี้ด้วยความรอคอย

สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

-----------------------------------------------------------

จดหมายทั้งสองฉบับนี้คือบุคคลที่มีปฐวีธาตุของแท้จากแม่น้ำโขงอยู่ในครอบครอง ควรแล้วที่จะได้พบเหตุการณ์ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงจิตวิญญาณอันนอกเหนือไปจาก คงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด และเมตตา ซึ่งเป็นประสบการณ์ธรรมดา ที่หาได้ทั่วไปในหมู่ผู้นิยมของขลัง

เพราะประสบการณ์ดังว่านั้นไม่เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย

เป็นเรื่องระหว่างผู้เสกกับผู้แขวนล้วน ๆ แต่ปรากฏการณ์อันเนื่องมาจากปฐวีธาตุ กลับมีใครบางคนหรืออะไรบางอย่างคอยเฝ้าดูเราอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเราไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน ‘ผู้ดูแล’ อยู่นั้นก็ก้าวออกจากเงามืดมาช่วยเหลือเราได้ทันท่วงที

นี่คือความอัศจรรย์ที่ไม่อาจหาได้ในวัตถุมงคลทั่วไป

แต่คำว่า ‘โชคดี’ คงไม่อาจใช้ได้กับผู้มีปฐวีธาตุอยู่ในมือ หากเพิ่มคำว่า ‘ด้วยบุญบารมีเก่า’ ก็น่าจะสมควรอย่างหาคำแย้งได้ยาก

สำหรับการบูชาสักการะปฐวีธาตุ ถ้าท่านไม่ได้นำติดตัวไปไหนมาไหน หลวงปู่สั่งว่าให้นำปฐวีธาตุแช่ลงในน้ำสะอาด ซึ่งภาชนะนั้นต้องเป็นของสะอาดด้วย จากนั้นก็ให้ตั้งบูชาไว้ในที่สูง จะเป็นหัวนอนที่น้ำไม่หก หรือบนโต๊ะหมู่บูชาก็ได้ทั้งนั้น

ถ้าจะให้ดีภาชนะที่ใส่ปฐวีธาตุควรมีฝาปิด เพื่อจะได้นำน้ำสะอาดนั้นมาดื่มกินเพราะเป็นน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด จะใช้พรมบ้านเรือนให้เกิดสิริมงคล หรือพรมร้านค้า-สินค้า ให้ซื้อง่ายขายคล่องก็วิเศษ

จะเอาน้ำมนต์ใส่โอ่ง ใส่ถังผสมกับน้ำเปล่าล้างหน้าและอาบน้ำทุกเช้าก็เยี่ยม เพราะนั่นจะเป็นมงคลแก่เราได้ตลอดวัน สุดแท้แต่จะอธิษฐานเอาในทางใด

ในวันพระหลวงปู่ให้เอาน้ำอบ-น้ำหอม และดอกมะลิมาใส่ถวายบูชา ซึ่งคาถาบูชานอกจากจะสวดสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ให้ว่าคาถาดังนี้

“ทิตะทิรา มันทะโล กะสิลา กะละลาสติ โสจะถิโห คะนะตะเน” 3 จบเป็นอย่างน้อย จากนั้นก็ตั้งจิตระลึกถึงปู่คำพัน โฆษปัญโญ หมู่เทพยดา และพญานาคที่รักษาปฐวีธาตุอยู่ แล้วอธิษฐานเอาในสิ่งที่ปรารถนาด้วยจิตที่มุ่งมั่นต่อพระรัตนตรัยและเดชานุภาพของปฐวีธาตุจักบันดาลให้เกิดความสำเร็จได้ไม่ช้าก็เร็ว

ขอให้ทำจริงเถิด

นั่นเป็นพิธีการของผู้มีปฐวีธาตุอยู่แล้ว แต่คนไม่มีจะทำอย่างไร ? คงจำกันได้ที่ผมบอกไว้ในศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 363 ว่ามีปฐวีธาตุจำนวน 500 องค์ ถูกแบ่งออกถวายท่านผู้ทรงคุณธรรมสูงท่านหนึ่ง แต่ผมไม่ได้บอกว่าใคร ที่ไม่บอกเพราะกลัวคนจะไปรุมท่านเอาจนอาพาธ แต่ตอนนี้บอกได้

หลวงปู่คำพันนั่นแล

ที่บอกได้ เพราะปฐวีธาตุจำนวน 300 องค์ถูกแบ่งออกจากหัวนอนหลวงปู่หลังจากผ่านการอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 7 เดือนเศษ มาสู่มือท่านอาจารย์เวทย์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2541 นี้

โดยเหตุผลที่ว่า คราวหนึ่งหลวงปู่ไปเยี่ยมท่านพระอาจารย์เวทย์ที่วัดแก่งตอย เมืองอุบลฯ และท่านได้เดินสำรวจบริเวณวัด เมื่อเห็นที่ดินของวัดซึ่งติดกับแม่น้ำเซบก ท่านก็บอกกับพระอาจารย์เวทย์ว่า ให้ทำกำแพงและซุ้มประตูวัดเสียเพื่อแยกอาณาเขตวัดกับของชาวบ้านให้ชัดเจน จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

แต่ท่านอาจารย์เรียนว่า มีปัจจัยไม่พอ หลวงปู่จึงเงียบไป และในปลายเดือนมีนาคม เมื่อท่านอาจารย์ขึ้นไปเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดธาตุมหาชัย หลวงปู่ก็ได้มอบปฐวีธาตุคืนมาให้ 300 องค์ และบอกให้นำออกบูชาเพื่อเอาปัจจัยมาทำประตูโขงต่อกำแพง ซึ่งต้องใช้เงินราว 350,000 บาท

จำเป็นหรือที่ต้องทำ?

ตอบได้ว่าจำเป็นมาก เพราะถ้าไม่มีกำแพงและประตูวัด ชาวบ้านอาจเข้าไปยิงนกตกปลา ล่าสัตว์ในวัด หนักไปกว่านั้นก็อาจรุกที่วัดได้ ทั้งนี้จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม

บาปมหันต์ทั้งสิ้น

การทำประตูและกำแพงจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการแก้ไข ผมจึงถือโอกาสบอกบุญมายังท่านทั้งหลาย ใครที่ต้องการบูชาปฐวีธาตุชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการ ขอให้เร่งขวนขวายคว้าเอาไว้ให้ด็ซึ่งของดีและบุญกุศลแบบนี้ทำบุญเท่าเดิมครับ องค์ละ 1,000 บาท

ถ้าท่านมีปัจจัยพอเพียงก็ให้รีบเถิด เพราะขณะนี้หลวงปู่คงไม่ไหวที่จะเสกปฐวีธาตุต่อไปแล้ว และท่านอาจารย์เวทย์ก็คงไม่ไหวที่จะออกหาเช่นกัน

ผมนึกถึงคำพูดที่หลวงปู่กล่าวในปี พ.ศ. 2538 ว่า

“ปฐวีธาตุมีพลังครอบจักรวาล เมื่อใดเกิดปัญหาก็ให้อธิษฐานขอให้ช่วยได้”

คิดถึงตรงนี้ทีไร อบอุ่นใจเหมือนมีท่านอยู่ข้าง ๆทุกที


หมายเหตุ : บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม และ 16 ตุลาคม 2541
-----------------------------------------------------------
เรียน คุณชายนายเอสซี่
เมื่อปี 2540 ผมไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อเมือง พลวัฑโฒ วัดป่ามัชฌิมวาส ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ปีนั้นทางวัดได้ทำการปรับหน้าดินด้วยการถมหินกรวดชนิดกลมเกลี้ยง ซึ่งหินประเภทนี้สามารถหาซื้อได้จากเรือดูดทรายตามฝั่งแม่น้ำโขง
วันหนึ่งตอนเช้าตรู่ ผมเห็นท่านพ่อเดินเก็บหินกรวดตามพื้นอยู่เงียบ ๆ โดยลำพังไม่มีศิษย์ติดตาม ผมแอบดูอยู่นานไม่เข้าใจว่าท่านกำลังทำอะไร ท่านเลือกหินกรวดขึ้นมาพลิก ๆ แล้วทิ้งลงพื้นไป แต่บางก้อนท่านก็หยิบมากำไว้ในมือแล้วมืออีกข้างก็ทำการเลือกใหม่ ท่านเดินไปตรงนั้น เดินไปตรงนี้โดยผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวกำหนดวิธีการเลือกของท่าน สักพักใหญ่ท่านก็กำหินจำนวนนั้นซึ่งท่านเฟ้นแล้วขึ้น "ศาลาพุทโธ"

เมื่อญาติโยมบางคนหรือบางกลุ่มเข้ามากราบท่าน ท่านจะหันไปหยิบหินกรวดที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ส่งให้ ญาติโยมเอื้อมมือมารับก็จริงแต่งุนงงว่าท่านให้มาทำไม ทว่าเมื่อเชื่อมั่นในคุณธรรมของท่านเขาก็รับนั่นแหละ แต่ไม่รู้ให้มาทำไมและจะเอาไปทำอะไรได้ หากเมื่อบางคนแสดงอาการ "มึน"พร้อมกับคงจะ "คิดในใจ"ว่าเดี๋ยวจะเอาไปทิ้ง ท่านก็พูดขึ้นกลางศาลาว่า

"อย่าเอาไปทิ้งนะ เก็บรักษาให้ดี อย่าดูถูกว่าเป็นแค่ขี้หินนะ"

ได้ยินดังนั้น ผมก็ใช้เวลาว่างระหว่างวันเที่ยวเดินเลือกหินก้อนสวย ๆ ไม่บิ่นไม่แตกรวบรวมให้ท่าน และไม่น่าเชื่อว่าในบางก้อนจะ "โปร่งแสง"มีลักษณะดุจเดียวกับปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ ไม่ผิดเพี้ยนเลย เมื่อผมเลือกได้เป็นจำนวนมากนับร้อยก้อน ก็นำไปล้างน้ำขัดสีฉวีวรรณให้สะอาดเอี่ยม เมื่อคราบสกปรกหลุดออกหมด ก็ยิ่งเพิ่มสีสันและความสวยงามเป็นอย่างมาก ผมก็รวบรวมไปใส่พานโดยหาผ้าขาวปูรองอีกชั้นหนึ่งก่อนแล้วนำไปวางไว้ข้างที่รับแขกของท่านบน "ศาลาพุทโธ"

เมื่อท่านขึ้นศาลามาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พอเหลือบเห็นพานซึ่งเต็มไปด้วยกรวด ท่านก็หันมามองหน้าผมทันทีทั้ง ๆ ที่มีพระ เณร และคนอื่นอยู่ตั้งเยอะ ท่านยิ้มให้ผมแล้วพูดว่า

"เออ ฤาษี เจ้านี่รู้ใจข้อยจริง ๆ"

จากนั้นท่านก็นำมาตั้งตรงหน้าแล้วอธิษฐานจิตทันที การทำ "ปฐวีธาตุ"ของท่านครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควร เมื่อท่านแจกให้ใคร สำหรับชุดนี้ท่านจะกำชับว่ารักษาให้ดี ๆ เป็นอย่างมาก และเมื่อใครก็ตามที่ขอมากกว่าหนึ่ง ท่านจะตอบทันทีว่า "ก้อนหิน คนละหนึ่งเท่านั้น"คนบ้าหวยได้ยินก็ยิ้มแก้มปริทันที

งวดนั้นออก 91 จริง ๆ

ท่านทำ "ปฐวีธาตุ"อย่างนี้อยู่ 3 วาระ แล้วท่านก็บอกผมว่า "พอแล้ว"แต่กว่าจะพอ พระ เณร ที่เห็นผมเก็บเห็นท่านพ่อทำ "ขลัง"ก็พากันเฮโลไปเก็บไปหาแล้วมาวานผมให้นำไปขอเมตตาท่านอธิษฐานจิตให้ไม่มีใครกล้าไปเองเพราะกลัวท่านทั้งนั้น พระหนุ่มเณรน้อยบางท่านบางองค์โชคดีมาก เจอกรวดชนิดใสหลายก้อนทีเดียว สภาพสวยเสียด้วย เมื่อท่านพ่อเสกแล้วก็หวงกันอย่างกับจงอางหวงไข่ !

ท่านพ่อเคยบอกกับผมเป็นส่วนตัวก่อนเริ่มทำปฐวีธาตุว่า...

"เราภาวนาเกิดนิมิตเห็นสงครามในวันข้างหน้า มันไม่เหมือนสงครามครั้งที่ผ่าน ๆ มา มันน่ากลัวมาก คนตายกันมาก มันจะมีเครื่องบินอันหนึ่งนะ ลำใหญ่มากเวลาขึ้นไปในอากาศนี่ดูน่ากลัว แล้วมันก็มีเหมือนแขนเหมือนสายอะไรระโยงระยางออกมา เครื่องบินชนิดนี้มันไม่มีระเบิดนะ แต่มันยิงเป็นแสงลงมา ถูกบ้านถูกคนทีตายไปเยอะ เวลามันบินลงมาต่ำ ๆ ใกล้พื้นนี่นะแผ่นดินสะเทือนทีเดียว โอ้...น่ากลัวนะ"

เพราะปรารภนี้กระมัง...ท่านจึงเริ่มอธิษฐานจิตปฐวีธาตุเพื่อช่วยคน...

แต่คงเพราะจะฝืนกรรมเกินไปกระมัง...ท่านจึงทำแจกได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง ไม่อาจทำอย่างแพร่หลายได้เหมือนพระเครื่องทั่วไป...

เกี่ยวกับปฐวีธาตุนี้ก็มีแปลก

สมัยหนึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2506 วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร กำลังเริ่มก่อสร้าง "สิมน้ำ"หรืออุโบสถกลางน้ำโดยมีท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นองค์ประธานในการสร้าง คุณวัน คมนามูล ผู้เป็นอุปัฏฐากคนสำคัญได้พบสิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับองค์ท่านพระอาจารย์
กล่าวคือทางวัดได้ทำการสั่งหินกรวดจากแม่น้ำโขงมาเป็นคันรถสิบล้อเพื่อนำมาผสมกับคอนกรีตสร้างโบสถ์ และรถสิบล้อก็ได้มาดั๊มพ์กรวดกองรวม ๆ กันไว้เป็นกองใหญ่มหึมาในบริเวณที่จะทำการก่อสร้าง ปรากฏว่าในตอนเช้า ท่านพระอาจารย์ฝั้นได้เดินตรงไปยังกองหินแล้วเรียกเณรน้อยมารูปหนึ่งให้ช่วยคุ้ยกองกรวดหาของโดยท่านยืนกำกับควบคุมอยู่ใกล้ ๆ

ท่านสั่งให้คุ้ยไปทางนั้น ๆ ได้ราวกับมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน จนกระทั่งท่านบอกว่านั่นแหละอันนั้นแหละให้คว้ามาส่งให้ท่าน สิ่งนั้นก็เป็นหินจากน้ำโขง แต่มีลักษณะใสโปร่งแสง และมีสีขาว ซึ่งนั่นก็คือลักษณะของ "ปฐวีธาตุ"ในองค์หลวงปู่คำพันนั่นเอง

เมื่อท่านได้หินก่อนนั้นมาแล้วท่านก็มอบให้กับคุณวัน คมนามูล ผู้เคยอุปถัมภ์ท่านมาแต่ครั้งท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวม ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา และท่านได้บอกกับคุณวันว่า

"เรานิมิตเห็นหินก้อนนี้มีแสงสว่างออกมาเมื่อคืนนี้"

คุณวันได้ยินแล้วก็ปีติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้หินมาแล้วก็นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นหินประเภทเพชรน้ำค้าง

คุณวันจึงนำหินนี้ไปทำเป็นหัวแหวนและได้มอบให้กับ นางวนิช สุพรรณสมบูรณ์ ผู้เป็นบุตรสาวไป

เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดว่า กรวดในแม่น้ำโขงบางก้อนมี "พลังงาน"อยู่ในตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือกรวดประเภทเดียวกับที่หลวงปู่คำพันบอกว่าเป็นสมบัติของพวกนาค และท่านก็นำมาอธิษฐานจิตเป็นปฐวีธาตุนั่นเอง

เรื่องของท่านพระอาจารย์ฝั้นและหลวงปู่คำพันจึงมาลงเอยรับรองกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

ไม่เว้นแม้ท่านพ่อเมือง

ดังนั้นใครที่เคยได้รับ "ปฐวีธาตุ"จากมือท่านพ่อ ก็จงเก็บรักษาให้ดีตามคำสั่งของท่าน เพราะไม่แน่ว่าวันหนึ่งท่านอาจต้องนำออกมา "ใช้"และอาจได้เห็น "สิ่งอัศจรรย์" จากปฐวีธาตุของท่านพ่อก็ได้ ใครจะรู้...

เพิ่มเติม : 
พลานุภาพพระพุทธปฐวีธาตุ
พระพุทธปฐวีธาตุ: 58: ปาฏิหาริย์องค์พระพุทธปฐวีธาตุแสดงฤทธิ์